Friday, August 7, 2009

วิธีสมัคร alertpay

Alertpay คืออะไร

Alertpay คือธนาคารออนไลน์แห่งหนึ่งบน Internet ที่เราสามารถโอนเงินจากเว็บหนึ่งไปยังอีกเว็บๆหนึ่งได้ และสามารถโอนเข้าธนาคารของประเทศไทยได้ในอนาคตสำหรับผู้ที่ทำงานบน Internet ส่วนใหญ่ก็ต้องรับเงินทาง Internet ด้วยเช่นกันส่วนน้อยที่จะได้รับเงินเป็น " เช็ค " เพราะฉะนั้นถ้าหากเราคิดที่จะหารายได้ผ่าน Internet แล้วละก็ คุณก็ไม่ควรพลาดที่จะต้องสมัคร Alertpay ไว้ด้วยเช่นกัน


ทำไมเราถึงต้องสมัคร Alertpay

เพราะบางเว็บไซต์เขาจะจำกัด จุดหมายของการรับเงินดังเช่นจ่ายผ่านเช็ค หรือจ่ายผ่าน Alertpay หรือจ่ายทั้งสองแบบซึ่งเราไม่มีสิธเลือกได้เลยว่าจะให้เขาจ่ายเงินเราทางไหน เพราะเขาจะเป็นผู้กำหนดเองและ Alertpay ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ปลอดภัย และหน้าเชื่อถือไมแพ้ธนาคารออนไลน์แห่งอื่นเช่นกัน


วิธีสมัคร Alertpay


1. เข้าไปที่ www.alertpay.com คลิกปุ่ม Sign Up
2. เลือกบัญชีแบบ Personal Starter เพราะเหมาะกับการส่งเงินจำนวนไม่มาก และไม่มีค่าธรรมเนียมในการส่งเงิน แต่จะจำกัดจำนวนเงินที่จะส่ง สามารถเปลี่ยนแปลงได้
3. คลิกปุ่ม Get Start
4. กรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มตามความจริงเพราะจะเป็นประโยชน์ต่อเราเอง
5. คลิกปุ่ม Next มุมขวาล่าง
ุ6. หน้าต่อไปกรอกรายละเอียด Email และ Password
7. เลือกคำถามกันลืม และใส่ตัวอักษรให้ตรงกับภาพที่ปรากฎ
8. ใส่เครื่องหมายถูกหน้าประโยค I agree to alertpay’s term and conditions
9. คลิกที่ปุ่ม Register เพื่อเปิดบัญชี ลงทะเบียนเข้าใช้งาน
10. เปิด Email ที่สมัครไว้และเข้าไปเช็คอีเมลล์เพื่อยืนยันอีเมลล์ที่ทาง Alertpay ส่งมาให้
หลังจากที่เราคลิกเพื่อเปิดใช้บริการจากลิงค์ในอีเมลล์ ระบบจะเข้าสู่หน้า log in ให้เรา
11. ระบบจะให้เราใส่ รหัส Pin เป็นตัวเลข 4 -8 ตัว ไว้รักษาความปลอดภัยในกรณีส่งหรือรับเงิน จะต้องกรอก Pin ทุกครั้งใส่แล้วกดปุ่ม Submit

Thursday, August 6, 2009

ยำผัก-ผลไม้รวม

อาหารประเภทยำเป็นอาหารอีกประเภทที่นิยมกันทั่วไป

และมีการทำขายกันแพร่หลาย ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการค้าขายอาหารประเภทยำมานำเสนอ เป็นยำประยุกต์ เป็น “ยำผัก-ผลไม้รวม” ที่สีสันสวยงาม รสชาติแตกต่างจากยำทั่ว ๆ ไป เป็นอาหารสุขภาพ และก็เป็นอาชีพที่น่าสนใจด้วย

อวยพร เนียมสกุล เปิดร้านขายข้าวยำ-ข้าวคลุกกะปิที่ตลาดลุงเพิ่ม ตลาดนัดหลังบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และมี “ยำผัก-ผลไม้รวม” เป็น เมนูใหม่ที่ลูกค้าตอบรับเป็นอย่างดีด้วย ซึ่งเจ้าของร้านเล่าว่า พี่สาวและพี่เขยเชี่ยวชาญด้านสุมนไพร จึงปลูกฝังให้ได้รู้ถึงประโยชน์ของสมุนไพรไทยที่มีต่อสุขภาพด้วย

ด้วย ความที่ชอบทานผักผลไม้เป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว บวกกับอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองจึงได้ลาออกจากงานประจำมาเข้าหุ้นส่วนกับ พี่สาวเปิดร้านขายข้าวยำทางเลือก อาหารพื้นเมืองของทางภาคใต้ ที่ใช้ผักสารพัดชนิด ต่อมาด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือเรื่องสุขภาพ-อาหาร เลย ได้ไอเดียคิดเมนูใหม่ว่าน่าจะเป็นยำ คนทั่วไปชอบอาหารยำ ที่รสชาติจัดจ้าน แซ่บถึงใจ ไม่น่าเบื่อ และเป็นทางเลือกหนึ่งที่เหมาะกับคนรักสุขภาพ โดยเฉพาะคนกลัวอ้วน เมนูนี้น่าจะเวิร์ก

“ที่ สำคัญคือหยิบเอาวัตถุดิบที่มีอยู่แล้วมาประยุกต์เป็นเมนูใหม่ เลือกวัตถุดิบที่มีประโยชน์ ความสด สะอาด และปลอดสารพิษ และน้ำยำที่ใช้เป็นน้ำยำประยุกต์ที่คิดดัดแปลงจนลงตัวพอดี”

วัตถุดิบ/ส่วนประกอบที่ใช้ทำก็มี... มะม่วงสับ, ส้มโอ, แครอท, ผักกาดหอม, ผักชีฝรั่ง, กะหล่ำปลีสีม่วง, หัวหอมแขก, ตะไคร้, พริกขี้หนู, ปลากรอบ, ถั่วลิสงคั่ว, เม็ดมะม่วงหิมพานอบหรือทอด, มะนาวฝานซีก เป็นต้น

สูตรน้ำยำที่ใช้ในการทำเมนูนี้... ใช้น้ำมะขามเปียก 5 กก. ต่อน้ำตาลปี๊บ 1,300 กรัม, เกลือป่น 4 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้งเดือนห้า ? ถ้วยตวง และน้ำปลาอย่างดี ? ถ้วยตวง

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ทั้งหมดก็ใช้พ่วงจากการทำข้าวยำขาย เช่น เครื่องหั่น, เขียง, มีด, กะละมัง, ถาด, คีมคีบของ, กระทะ, ตะหลิว, ทัพพี, หม้อสแตนเลส ฯลฯ

ขั้นตอนการทำ “ยำผัก-ผลไม้รวม” ไม่ มีอะไรยุ่งยากมาก เริ่มจากการทำน้ำยำก่อนเป็นอันดับแรก โดยนำส่วนผสมที่ตวงตามสูตร เช่น น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ เกลือป่น น้ำปลา และน้ำผึ้งเดือนห้า ใส่หม้อสแตนเลส ใช้ทัพพีคนให้ส่วนผสมเข้ากันและน้ำตาลละลายดี ยกขึ้นตั้งไฟเคี่ยวไปเรื่อย ๆ ด้วยไฟกลาง ๆ ซึ่งต้องคอยคนตลอด ห้ามเร่งไฟแรงเพราะจะไหม้ เคี่ยวประมาณ 1 ชั่วโมง พอน้ำยำข้นดีแล้วก็ยกลงตั้งพักไว้ให้เย็น

นำผัก-ผลไม้ที่เตรียมไว้มาล้างให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ แครอทนำมาปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นเส้นยาวประมาณ 2-3 นิ้ว ผักชีฝรั่งก็หั่นหยาบ ๆ เตรียมไว้ มะม่วงปอกเปลือกสับเป็นเส้น ๆ ส้มโอแกะทำเป็นกลีบ มะนาวผ่าซีก กะหล่ำ สีม่วงนำมาหั่นฝอย ตะไคร้หั่นฝอย พริกขี้หนูและหัวหอมแขกหั่นเตรียมไว้ ผักกาดหอมก็เช่นเดียวกัน จากนั้นก็นำผัก-ผลไม้ที่เตรียมไว้ใส่ภาชนะเข้าตู้เย็น เพื่อคงความสดเอาไว้

ถั่วลิสง คั่วใช้วันต่อวันเพื่อความสดใหม่-ความหอม ปลากรอบ จะส่งตรงมาจาก จ.ตรัง ทุกอาทิตย์

คุณ อวยพรบอกถึงผลดีการทำน้ำยำแบบนี้ว่า ทำให้ยำมีความกรอบนาน นิ่มช้าลง และสามารถแยกน้ำยำใส่ถุงได้สะดวก ถ้าต้องการรสชาติจี๊ดจ๊าดขึ้นก็บีบมะนาวเติมทีหลังได้ น้ำยำแบบนี้คล้ายกับน้ำปลาหวาน สามารถดัดแปลงเอาไปใส่ในผลไม้พวกมะม่วง กระท้อน ส้มโอ้ได้ ช่วยลดความเปรี้ยวของผลไม้ที่เปรี้ยวจัด

ยำผัก-ผลไม้รวมจะมีรสชาติกลมกล่อม แต่จี๊ดจ๊าด เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม น่าจะถูกปากคนไทยทุกภาค

ราคาขาย “ยำผัก-ผลไม้รวม” ที่ร้านนี้ขายชุดละ 40 บาท (แพ็คใส่กล่องพลาสติก) ต้นทุนประมาณ 65% ของราคาขาย

ร้านของคุณอวยพรอยู่ที่ศูนย์อาหารตลาดลุงเพิ่ม หลังการบินไทย วิภาวดี 22 กรุงเทพฯ โทร.08-4139-3849, 08-1403-2509 นอก จากขายที่ร้านแล้วยังสามารถทำเงินเพิ่มจากการรับจัดส่งอาหารตามงานสัมมนา ต่าง ๆ รวมทั้งรับออกร้านงานเลี้ยงนอกสถานที่ เป็นอีกกรณีตัวอย่าง “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ

คู่มือลงทุน...ยำผัก-ผลไม้รวม

ทุนเบื้องต้น อยู่ที่รูปแบบการขาย
ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 65% ของราคา
รายได้ ราคาขาย 40 บาท/ชุด
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, ย่านชุมชน
จุดน่าสนใจ เพื่อสุขภาพเป็นจุดขาย

เดลินิวส์

การเริ่มต้นธุรกิจของตนเอง

การเริ่มต้น ธุรกิจ : ทางเลือก

"จงปฏิบัติต่อผู้อื่น
เช่นที่ท่านต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อท่าน
และ "จงให้" แล้ว ท่านจะเป็นผู้ได้ "รับ"
คือ กฏประการสำคัญ ของนักประกอบการ"


ยอร์จ กิลเดอร์









ธุรกิจที่คุณคิดจะริเริ่มนั้น ถ้าเป็นไปได้ ควรจะเป็นแนวความคิดใหม่ๆ

วิธีที่จะได้แนวความคิดใหม่ๆ ได้ก็คือ

คุณจะต้องมีความตั้งใจ
ที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง หรือ พร้อมที่จะสนองความต้องการของผู้คน
ซึ่งมักจะมีความไม่พอใจเกิดขึ้นอยู่เสมอ


การลงทุนในธุรกิจใหม่ๆนี้ ควรจะมีรากฐาน มาจากสิ่งที่คุณมีความรู้

งานในปัจจุบันที่คุณทำอยู่ คือ แหล่งข้อมูลอันดี ที่จะทำให้คุณเกิดแนวความคิด และ มองเห็นภาพขึ้น

หรือ บางที คุณอาจจะคิดประดิษฐ์สิ่งแปลกๆใหม่ๆ โดยใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ได้ เพราะมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นเครื่องใช้ในบ้านจำนวนมาก ที่เกิดขึ้นมาด้วยวิธีนี้

บางครั้ง งานอดิเรก ก็กลายเป็นตัวนำ ให้คุณพบกับโอกาสดังกล่าวได้...

งานอดิเรก n.a hobby





















คุณเอง ก็สามารถกระทำในสิ่งที่มีลักษณะเดียวกันนี้ได้

แต่ ในตอนแรก คุณจะต้องวิเคราะห์สถานการณ์ประจำวัน และ มองหาความต้องการ ที่ไม่มีผู้ใดสนองได้เสียก่อน

ซึ่งความคิดดังกล่าว ควรจะฝึกฝนให้เป็นลักษณะนิสัยประจำตัว
คำแนะนำ วิธีการง่ายๆ คือ
หาสมุดพกไว้สักเล่มหนึ่ง
ในหน้าหนึ่งนั้น เขียนไว้บนหัวกระดาษว่า "ความต้องการ"
ส่วนหน้าต่อไป ก็เขียนไว้ว่า "ความผิดพลาด"
และ จดสิ่งที่คุณได้พบเห็น และ บังเกิดความไม่พอใจ ลงไว้ แม้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็น

สิ่งที่คุณต้องการแล้ว ไม่ได้
สินค้าที่ซื้อมาแล้ว และ พบว่า มีคุณภาพเลว

หรือ ในเรื่องของการทำงานก็เช่นกัน จงอย่าละเลย ที่จะบันทึกข้อบกพร่องต่างๆ หรือ ข้อมูลที่ไม่อาจหามาได้

จงบันทึกในสิ่งที่ฝ่ายบริหาร ได้มองข้ามไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องตลาด หรือ การปฏิบัติต่อลูกค้า

ถ้าคุณสามารถกระทำในสิ่งนี้ ได้อย่างเหมาะสม ก็เท่ากับคุณกำลังมองลึกเข้าไปในตนเอง

มิเช่นนั้น คุณก็จะพลาดในสิ่งต่างๆ ที่เป็นความต้องการของมนุษย์ และ ก่อให้เกิดความผิดพลาดตามมาได้

ในทุกๆวันที่ผ่านไป
คุณจะได้พบว่า คุณมีความต้องการในอะไรบางสิ่งที่มิได้มีอยู่


เมื่อใดก็ตาม ที่คุณจะนำวิธีการดังกล่าวนี้ เข้ามาใช้
คุณก็จะเปรียบเสมือนคนตาบอด ที่เกิดมองเห็นขึ้นมาได้ในทันทีทันใด


การ ใช้เวลาเล็กๆน้อยๆ ให้เป็นประโยชน์ โดยการทำธุรกิจ ที่สามารถสนองความต้องการของคนอื่นๆได้เช่นนี้แหละ ที่จะกรุยทาง ให้เราก้าวไปสู่ความเป็นสักประกอบการที่ยิ่งยงในอนาคต ได้ในไม่ช้า


โอกาสดังกล่าว
ได้ก่อให้เกิดบริษัท ที่สร้างผลกำไรให้เกิดขึ้นได้อย่างงดงามมาแล้วเหลือคณานับ









เมื่อถึงเวลาหนึ่ง แนวความคิดที่คุณต้องการ ก็จะสว่างแวบขึ้นมาในใจ และ แล้ว การประกอบการธุรกิจของคุณก็จะเริ่มต้นขึ้น








การ ฝึกฝน ที่คุณมอบให้แก่ตนเอง ด้วยการวิเคราะห์ในความต้องการของผู้อื่น จะช่วยคุณได้ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การบริหารที่ดี บริการที่ดี คุณภาพที่ดี

ความต้องการของคุณ ก็คือ ความต้องการของคนอื่นๆด้วย

คนเราทุกคน ล้วนแล้วแต่มีความต้องการที่เหมือนๆกัน แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเรา จะแตกต่างกันก็ตาม

ความไม่พอใจ และ ความปราถนาของคุณ ก็คือ ความรู้สึกของเพื่อนบ้าน
ดังนั้น โอกาสของคุณ จึงมีอยู่ในการวิเคราะห์ตนเอง หรือ วิเคราะห์ในความต้องการของผู้อื่น







ถ้าคุณแสวงหาโอกาสดังกล่าว อย่างจริงจัง โอกาสก็ย่อมจะมีมา
เมื่อไรที่คุณพร้อม สิ่งที่คุณแสวงหา ก็จะรอคุณอยู่

การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ใหม่ และ ดีกว่า...
การสร้างงานที่โดดเด่น
การคิดประดิษฐํ และ สร้างผลิตภัณฑ์ หรือ สินค้าชนิดใหม่ๆออกมา
แม้ว่าจะต้องใช้ความสามารถเป็นพิเศษ ซึ่งน้อยคนนักที่จะมีอยู่บ้าง
แต่ มันก็มิใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป

และ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคุณได้เริ่มกิจการขึ้นมาแล้ว คุณก็จะจับวิธี หรือ หนทางอันจะให้เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าของคุณได้

ซึ่ง อาจเป็นหนทางที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน








ประสบการณ์ และ การศึกษาในความต้องการของลูกค้าเท่านั้น ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ

อเล็กซานเดอร์ ที. สจ๊วต
อาชีพแรกของเขา คือ ครู
ตลอดเวลานั้นเขาแสวงหา และ ครุ่นคิด เกี่ยวกับความต้องการของผู้อื่น
เขารับฟัง และ จับสังเกตอยู่ว่า ทำอย่างไร จึงจะทำให้ผู้อื่นพอใจ และ ไม่พอใจ

และ นั่นคือ สิ่งที่คุณเอง ก็ควรจะต้องทำ









จากการลงทุนด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด ไปจนกระทั่งการลงทุน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ กฏเกณฑ์ส่วนใหญ่ก็เหมือนๆกัน คือ

คุณพยายามที่จะทำอะไรบางอย่าง ให้แปลก หรือ ดีกว่าสิ่งที่ใครๆ กระทำกันอยู่








ขอให้ดูจากงานขายบริการอย่างง่ายๆ คือ บริการขัดรองเท้า

คนส่วนมากอาจคิดว่า มันเป็นงานที่ต่ำต้อย

..แต่ไม่มีงานใดที่มนุษย์กระทำลงไปแล้ว จะเป็นการไร้ศักดิ์ศรี
งานทุกอย่าง เป็นงานที่มีเกียรติ และ มีค่าควรแก่การทำทั้งสิ้น


เมื่อ คุณสามารถสนองความต้องการของเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่างานนั้น จะเป็นงานในระดับต่ำสักเพียงไร ก็เท่ากับคุณได้ปฏิบัติ ตามกฏขั้นมูลฐานของการค้า และ การสร้างฐานะของตนเอง โดยสมบูรณ์แล้ว

ทำในสิ่งที่เหนือกว่าบริการในระดับปัจจุบัน หรือ วิธีการที่ใครคนอื่นทำกันอยู่

คุณ จะได้รับผลสนองตอบ ต่อสิ่งที่คุณประดิษฐ์ขึ้นมา ก็ต่อเมื่อ คุณเอามันเข้าไปวางลงในตลาด และ ลุกค้า หยิบมันขึ้นมาเท่านั้น

มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เราจะทำเงินขึ้นมาเป็นจำนวนมากๆ...
เพราะ มินมิใช่เรื่องง่าย ที่คนเราจะมีความยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนเองอย่างเหนียวแน่น และ พยายามจะผลักดันสินค้า หรือ บริการของตน เข้าสู่มือลูกค้าอย่างไม่ทดท้อต่ออุปสรรคนาสัปการ

ศัพท์เทคนิค ในวงการธุรกิจ ที่คุณแสวงหาอยู่ก็คือคำว่า "ช่องว่างในตลาด"








ธุรกิจ ที่จะลงทุน จะต้องเป็นผลที่เนื่องมาจากการค้นพบวิธีการที่ใหม่กว่า ดีกว่า หรือ การมองเห็นช่องว่างที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป เพื่อเติมช่องว่างนั้นให้เต็ม

พูดง่ายๆ ก็คือ คุณมองหาวิธี ที่จะแก้ปัญหา หรือ สนองความต้องการของผู้บริโภคนั่นเอง


เฮนรี่ ไกเซอร์ ได้กล่าวว่า

"คุณจะต้องตั้งเป้าหมายไว้ว่า คุณสามารถจะเสนอบริการได้ดีเพียงไร
ถ้าคุณตั้งเป้าหมายที่แน่นอน คุณก็ควรจะแสวงหาบริการใหม่ๆ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ได้..."

เมื่อใดก็ตาม
ที่ ผมเห็นความต้องการที่ไม่สมปรารถนา ผมจะเกิดความรู้สึกกระตุ้นขึ้นมาในใจว่า จะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อที่จะให้มันเกิดความสมบูรณ์ขึ้นมาให้ได้

"โอกาสที่จะพัฒนา หรือ ผลิตสินค้า หรือ บริการใหม่ๆ นั้น กว้างใหญ่ไพศาลแบบเดียวกับแนวความคิด หรือ ความต้องการของมนุษย์นั่นแหละ"










ขณะที่เราขับรถผ่านเข้าไปในเมือง ที่ไม่เคยรู้จักนั้น เราเต็มไปด้วย ความอ่อนเพลีย เหน็ดเหนื่อย และ หิวโหย

มันเป็นเวลาค่ำมาก จนเกินกว่าที่เราจะหวังว่า จะหาร้านอาหารดีๆ นั่งรับประทานกันได้
ทันใดนั้น เมื่อเราขึ้นไปถึงเนินเขา ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงแรมที่พัก เรารู้สึกโล่งใจเป็นอันมาก
ลูกชายของผม ตะโกนออกมาด้วยความดีใจว่า " McDonald "

อะไรเป็นเหตุผล
ให้ครอบครัวเล็กๆของผม และ ลูกค้าคนอื่น แสดงความโล่งใจออกมา เมื่อได้เห็นป้าย แม๊คโดนัลด์ เด่นอยู่ตรงชานเมืองอขงเมืองแวนคูเวอร์

คำตอบก็คือ
เพราะ แม๊คโดนัลด์ สามารถตอบสนองความต้องการของเราได้








เราต้องการความมั่นใจว่า จะได้รับประทานอาหารดีๆ
ต้องการบริการเร่งด่วน
เรา ไม่ต้องการจะไปในสถานที่ซึ่ง ต้องนั่งลง รอ และ เต็มไปด้วยความวิตกกังวลว่า สภาพของเราเป็นอย่างไร แต่งตัวเหมาะสมกับสถานที่หรือไม่

ถ้าเราพิจารณมถึงช่องว่างในตลาดที่ แม็คโดนัลด์ เข้ามาเติมให้เต็ม เราก็จะได้พบสิ่งที่นำความสำเร็จ มาสู่นักประกอบการที่ยิ่งใหญ่ ของอเมริกา ดังนี้





คุณภาพ : อาหารจะต้องดีเสมอ
การจัดจำหน่าย : พบได้ในทุกหนทุกแห่ง
ความรวดเร็ว : ไม่ต้องมีการรอคอย หรือ ล่าช้า
ความไม่มีพิธีรีตอง : ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชุดใหม่
ความไว้ใจได้ : อาหารจะมีรสชาติเช่นเดิม
บริการ : ให้ความสนใจ และ รวดเร็ว
ความสะอาด : ไม่มีสิ่งใด ที่ชวนใจให้ไม่อยากเข้าไปนั่งรับประทาน
บริกร : แต่งตัวสะอาด และ ให้ความสนใจในลูกค้า
เมนู : มีอาหารทุกชนิดให้เลือก
ราคา : เป็นราคาที่สมเหตุผล







เหตุผลที่ทำให้บริษัทนี้ มีความเจริญรุ่งเรือง ก็เป็นเหตุผลเดียว กับ การลงทุนในธุรกิจประเภทอื่น

"ผมได้พบความก้าวหน้านั้น อย่างช้าๆ ว่า ไม่ว่าจะเป็นบุคคล หรือ บริษัทธุรกิจก้ตาม หลักการที่เป็นสัจธรรมที่สุด คือ
เงินทุกเหรียญที่จ่ายไป จะต้องได้รับคุณภาพที่คุ้มค่ากลับมา"




Thursday, July 30, 2009

การเขียน Facebook Application

ก่อนอื่นต้องขอบ่นก่อนเลยว่าผมงงมากๆ กับการเริ่มเขียน Facebook API เนื่องจาก Wiki ของ Facebook มี เนื้อหาต่างๆ มากมาย ทั้ง Low Level และ High Level ผสมกัน กว่าจะเข้าใจและพอเขียน App ที่ใช้ได้จริงๆ ก็เป็นอาทิตย์เพราะนั่งปวดเศียรเวียนเกล้ากับอยู่นานสองนาน ดังนั้นใครอยากเขียน Facebook Application ละก็ควรจะรู้สิ่งต่างๆ ข้างล่างไว้ก่อน เพื่อที่เวลาจะเริ่มหัดจะได้ไม่งงเหมือนกับผม

ก่อนอื่นสิ่งที่ต้องมีอันดับแรกคือ host ของตัวเองที่ไหนก็ได้ เพราะ Facebook จะไม่มีที่สำหรับ upload file ของเราเก็บให้ครับ ต้องมี host เป็นของตัวเอง แล้ว Facebook จะมาดึงข้อมูลจาก host ของเราไปแสดงบน facebook อีกทีหนึ่ง (ผ่าน Canvas Callback URL ใน Tab Convas ด้านล่าง) สิ่งที่ต้องทำมีดังนี้

1. http://www.facebook.com/developers/ เข้าหน้านี้แล้วกด Allow Access จะเป็นการอนุญาตการใช้ App เหมือน App บน facebook ทั่วไป (อย่าลืม bookmark ด้วยล่ะ! เพราะมันก็เป็น app ที่สามารถ bookmark ได้ตามปกติ)
2. คลิก Setup New Application ทางมุมขวาบน
3. ช่อง Application Name ก็กรอกชื่อ App ที่เราจะสร้างตามสะดวก
4. ติ๊ก Agree แล้ว Save Change
5. จะเข้าสู่หน้า Application Setting ซึ่งส่วนที่เราต้องไปเซ็ตค่ามีดังนี้ (ส่วนอื่นนอกจากนี้ ถ้าไม่ต้องการใช้อะไรที่ Advance จริงๆก็ไม่ต้องยุ่งครับ จะมีอะไรให้เซ็ตเยอะมาก)
1. Tab General ต้องเซ็ตดังนี้
* Application Name - อันเดียวกับที่ใส่ไปแล้ว
* Description - รายละเอียด Application ที่จะให้แสดงตอนขึ้น Allow Access ให้ดึง friend มาได้
* Icon - icon เวลา bookmark และ publish ลง wall
* Logo - แสดง logo ตอน Allow Access และอื่นๆ
* Developers - ถ้ามีเพื่อนหลายคนช่วยกัน จะแบ่ง permission ให้เข้ามาแก้ Application Setting ได้ด้วยก็ใส่เพิ่มตรงนี้
2. Tab Convas
* Canvas Page URL - URL ที่จะให้ผู้ใช้ App ของเราจำ หรือใส่ link ต่างๆ (จะเปลี่ยน URL เมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ และไม่กระทบกับผู้ใช้ที่ bookmark app เราไว้)
* Canvas Callback URL - URL ที่เชื่อมโยงกับเว็บจริงของเราที่ทำการประมวลผลต่างๆ ใน app และส่งมาให้ผู้ใช้ได้ใช้ (host ของเรานั่นเองแหละ) เช่น http://www.myserver.com/facebook_app/index.php
* Render Method - อันนี้ให้เลือกเป็น Iframe ซึ่งผมจะอธิบายความแตกต่างระหว่าง เลือกแบบ FBML กับแบบ Iframe ให้อีกทีครับ (ใน Tutorial อันต่อๆ ไปจะสร้าง app ใน iframe ครับเลยต้องเลือกอันนี้)
* IFrame Size - อันนี้เลือกเป็น Resizable ซึ่ง Smart size คือการกำหนดให้ Auto Resize กรอบของ iframe ตามขนาดหน้าจอ Browser ครับ แต่ให้เลือกเป็น Resizable เพราะเราจะมีวิธีแก้ที่ดีกว่าภายหลังครับ หึหึ :P
3. Tab Convas
* Connect URL - กรอก URL host เราเข้าไปเหมือนเดิมครับ (อันนี้จริงๆ จะใส่อะไรก็ได้ เหมือนกับว่ามันแค่เอาไปเซ็ต path cookie domain เวลาเราจะใช้งาน Facebook Connect เท่านั้นเอง)
* Facebook Connect Logo - จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ครับ ไม่มีผล
4. Tab Advanced
* Sandbox Mode - ถ้าเลือกเป็น Enable จะอนุญาตให้เฉพาะ Developer ของ App นี้เท่านั้นที่สามารถใช้งานทดสอบ App นี้ได้ (ตามช่อง Developers ที่ได้กรอกไว้ใน Tab General) ซึ่งหากเป็น App ที่อยากให้เพื่อนช่วยทดสอบ แต่ไม่อยากให้เพื่อนเข้ามายุ่มย่ามกับ Application Setting ของเราก็ปล่อย Disable ไปเถอะครับ
6. คลิก Save Changes ก็จะแสดงหน้า Profile ของ Application เราขึ้นมา ให้จำค่า API Key และ Application Secret เอาไว้ให้ดี เพราะต้องเอาไปใช้ใน code ของเราตอนเชื่อมกับ Facebook ครับ

7. ในหน้าเดียวกันกับข้อที่แล้วให้เลื่อนลงมาด้านล่าง คลิก Download the Client Library (จะ กด link นี้เพื่อดาวน์โหลดเลยกได้ แต่ไม่ยืนยันว่าจะได้ library เวอร์ชั่นล่าสุดครับ) ส่วนใครที่ไม่ได้ใช้ php สามารถ Download library ต่างๆ ในภาษาที่ใช้ได้ที่ Unofficial Client Libraries

8. Extract Client Library ออกมา จะมี folder footprints กับ php ซึ่ง folder footprint จะเป็น app ตัวอย่างซึ่งใช้ Setting แบบ FBML ในการรันใช้งาน (แต่เราเลือกเป็น Iframe ไว้) ดังนั้นจะใช้งานกับ Tutorial ฉบับนี้ไม่ได้ ใครอยากลองในนั้นก็ได้ครับ ตามสบาย

9. ใน Folder php ไฟล์ที่เราต้องใช้มีเพียงสองไฟล์คือ facebook.php และ facebookapi_php5_restlib.php ส่วนไฟล์ facebook_desktop.php ก็ตามชื่อครับ ไว้ใช้ถ้าเราสร้าง App ที่อยู่บน Desktop แต่เราสร้างบนเว็บอยู่แล้วก็ไม่ต้องยุ่ง และสุดท้ายคือ folder jsonwrapper ใช้สำหรับถ้า host ที่เราใช้อยู่ ไม่สามารถใช้ function json_encode และ json_decode ได้ก็จะต้อง include ใช้ library ในส่วนนี้ด้วย (ปกติแล้วถ้า host เป็น php5 ตั้งแต่ 5.2 ขึ้นไปจะสามารถใช้ฟังก์ชั่นนี้ได้อยู่แล้ว)

10. กลับมาที่หน้าเดิมกับข้อ 7 (อีกแล้ว) จะมีช่องนึงเขียนว่า Sample Code “Get started quickly with some example code!” นั่นแหละคลิกคำว่า example code เอาเลย แล้วจะมี popup เด้งขึ้นมาพร้อม code ตัวอย่างที่ป้อน API Key, กับ Application Secret ของ App เราไว้ให้แล้วเสร็จสรรพ!! เพียงแค่ copy paste ไปสร้างไฟล์ใหม่ชื่อ index.php แล้ว upload เข้า host เราให้ path ตรงกับ Canvas Callback URL ที่กรอกไว้ใน Tab Convas (อย่าลืม upload facebook.php และ facebookapi_php5_restlib.php ขึ้นไปด้วยให้อยู่ directory เดียวกันกับ index.php ของเรา)

11. ทดสอบพิมพ์ URL ตาม Canvas Page URL ที่กรอกไว้ใน Tab Convas ก็จะรัน app ได้ทันที โอ้!! มีรายเพื่อนของเราโผล่มาหมดเลย!! :P อะไรเนี่ย?? ยังไม่ต้อง code เลยซักแอะ แค่ Copy Paste เอง :P

12. ถ้าต้องการ Edit Application Setting อีกครั้งก็เข้าหน้า Facebook Developer ที่ bookmark ไว้แล้วจะมีรายชื่อ App ที่เราสร้างไว้ทางขวาบน (ใต้ปุ่ม Setup New Application) แล้วจะกลับมาที่หน้าเดียวกับข้อ 7 คลิกที่ Edit Settings ก็จะแก้ไขค่าต่างๆ ได้ครับ

Thursday, June 11, 2009

ข้อมูล Paypal

1. ข้อมูลเบื้องต้น

Paypal Inc. (www.paypal.com) เป็นบริษัทออนไลน์ที่ให้บริการระบบโอนและชำระเงินผ่านอีเมล์ระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค
(C-to-C Payment) หรือระหว่างบุคคลกับบุคคล (P-to-P Payment) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 1998
และเริ่มให้บริการเมื่อเดือนตุลาคม 1999 ในระหว่างปีแรกที่ให้บริการ บริษัทมีลูกค้าเข้ามาลงทะเบียนเป็นสมาชิกกว่า 3 ล้านราย
และมีธุรกรรมต่อวันมากกว่า 100,000 ธุรกรรม

บริการทั่วๆไปที่ลูกค้านิยมใช้บริการผ่าน Paypal ได้แก่ การโอนเงินระหว่างบุคคลกับบุคคล การชำระเงินค่าสินค้าในตลาด
ประมูลต่างๆโดยเฉพาะตลาดประมูลระหว่างบุคคลกับบุคคลของ Ebay การทำธุรกรรมที่เป็นลักษณะเดียวกับการสั่งจ่ายเช็คระหว่าง
บุคคลกับบุคคล และการชำระเงินค่าสินค้าให้แก่ร้านค้าออนไลน์ เป็นต้น

ในสหรัฐฯก่อนที่จะมีการให้บริการระบบโอนและชำระเงินออนไลน์เช่นเดียวกับ Paypal การโอนและชำระเงินระหว่างกลุ่มผู้บริโภค
กับผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการชำระด้วยเงินสด การส่งเช็ค การโอนเงิน (Transfer) และการใช้บัตรเครดิต เป็นต้น ซึ่งมีความ
ไม่สะดวกบางประการ กล่าวคือ

  • การชำระเงินด้วยเงินสด ต้องมีการพบปะกันระหว่างทั้งสองฝ่าย
  • แม้ว่าการสั่งจ่ายเช็คระหว่างบุคคลกับบุคคลโดยข้ามธนาคารหรือข้ามรัฐจะไม่มีการคิดค่าบริการก็ตาม
    การส่งเช็คไปยังพื้นที่ที่ห่างไกลต้องใช้ระยะเวลานาน และผู้ที่ได้รับเช็คต้องนำเช็คดังกล่าวไปฝากธนาคารก่อน
    จึงจะสามารถสั่งจ่ายให้แก่ผู้อื่นต่อไปได้
  • การชำระเงินด้วยการโอนเงินมีค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างสูง
  • การชำระเงินด้วยบัตรเครดิตยังไม่สามารถชำระโดยตรงระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคได้
ในทางตรงกันข้ามการชำระเงินทางอินเทอร์เน็ตผ่านบริการของ Paypal มีข้อดี คือ
  • สามารถรองรับการทำธุรกรรมระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคได้
  • มีต้นทุนในการทำธุรกรรมที่ต่ำและสามารถสั่งจ่ายเงินที่มีมูลค่าน้อย
  • มีความรวดเร็วเสมือนกับการรับและส่งเช็คทางออนไลน์ และสามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2. ขั้นตอนในการประกอบธุรกิจ

ผู้ที่ต้องการใช้บริการโอนหรือชำระเงินผ่านเครือข่ายบริการของ Paypal ต้องลงทะเบียนสมัครเป็นสมาชิกของ Paypal
ซึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ลูกค้าจะเป็นผู้กำหนดชื่อบัญชี (Login) และรหัสผ่าน (Password) ได้ด้วยตนเอง โดยลูกค้า
สามารถเลือกเปิดบัญชีส่วนบุคคลหรือบัญชีแบบ Premier ซึ่งจะมีวงเงินในการรับชำระด้วยบัตรเครดิตและคิดค่าบริการที่แตก
ต่างกันดังแสดงในตารางที่ 1 ในการลงทะเบียน ลูกค้าต้องดำเนินการดังต่อไปนี้

  • เปิดบัญชีธนาคารประเภทใช้เช็ค (Checking Account) เพื่อใช้สำหรับการโอนเงินฝากไว้ในบัญชี
    หรือต้องการปิดบัญชีที่เปิดไว้กับ Paypal
  • ฝากเงินขั้นต่ำไว้ในบัญชีที่เปิดไว้กับ Paypal 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งลูกค้าจะได้รับดอกเบี้ยในอัตรา
    ที่ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยของตลาด
  • แจ้งที่อยู่อีเมล์ (Email Address) ซึ่งจะใช้ในการติดต่อและทำธุรกรรม

2.1) ผู้ส่งเงินหรือผู้โอนเงิน

  1. เมื่อลงทะเบียนแล้ว สมาชิกจะสามารถใช้บริการโอนเงินหรือชำระเงินให้แก่ผู้อื่นผ่านเว็บไซต์ของ Paypal
  2. ในขั้นตอนการโอนเงิน สมาชิกต้องแจ้งชื่อและนามสกุลของผู้รับ จำนวนเงินที่ต้องการโอน และอีเมล์ของผู้รับ
  3. หลังจากยืนยันการโอนเงินแล้ว บริษัทจะส่งอีเมล์แจ้งหมายเลขยืนยันการโอนเงิน เพื่อให้ผู้โอนเงินใช้อ้างอิง
    ส่วน ผู้รับจะได้รับอีเมล์แจ้งให้ทราบว่ามีการโอนเงินให้ผ่านบริการของ Paypal โดยผู้รับจะสามารถรับเงิน
    จำนวน ดังกล่าว ตามขั้นตอนที่จะกล่าวถึงต่อไป
  4. เมื่อผู้รับได้รับเงินเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะส่งอีเมล์ยืนยันการรับเงินดังกล่าวให้แก่ผู้โอนเงิน อย่างไรก็ตาม
    บริษัทอนุญาตให้ผู้โอนเงินสามารถยกเลิกการโอนเงินได้ทุกเวลาก่อนที่ผู้รับจะได้รับเงิน

    2.2) ผู้รับเงิน

    1. เมื่อได้รับอีเมล์แจ้งการโอนเงิน ผู้รับต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิกของ Paypal เช่นเดียวกับผู้โอนเงิน โดยไม่ต้อง
      เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
    2. เมื่อลงทะเบียนแล้ว ผู้รับจะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวและเก็บในบัญชีที่เปิดไว้กับ Paypal โดยจะสามารถโอนเงิน
      จ่ายให้แก่ผู้อื่นได้ต่อไป

    2.3) การปิดบัญชี

    เมื่อลูกค้าต้องการปิดบัญชีที่เปิดไว้กับ Paypal ลูกค้าจะต้องแจ้งให้บริษัททราบ โดยบริษัทจะส่งเงินทั้งหมดที่มีอยู่
    ในบัญชีของลูกค้าดังกล่าวในรูปของการส่งเช็คทางไปรษณีย์ การโอนเงินผ่านบัตรเครดิต หรือการโอนเงินในบัญชีคืน
    ให้แก่ลูกค้า ซึ่งไม่ว่าจะเลือกใช้วิธีใดก็ตาม ลูกค้าจะใช้เวลารอรับเงินนานประมาณ 1 ถึง 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามลูกค้า
    ส่วนใหญ่ จะเก็บรักษาเงินจำนวนดังกล่าวไว้ใช้ซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ต่อไป ในปัจจุบัน บริษัทกำลังจัดทำโครงการให้
    บริการบัตรเดรบิต (Debit Card) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการซื้อสินค้าตามร้านค้าปกติ (Offline)


3. การประกอบการ

รายได้หลักของบริษัทจะมาจากค่าธรรมเนียม (Fee) ซึ่งจัดเก็บจากผู้รับเท่านั้น ดังตารางที่ 1

ประเภทบัญชี ค่าธรรมเนียมบริการ
ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่รับ
. น้อยกว่า $15 ตั้งแต่ $15 ขึ้นไป
บัญชีส่วนบุคคล* ไม่คิดค่าบริการ ไม่คิดค่าบริการ
บัญชีแบบ Premier $0.30 2.2% + $0.30
* กำหนดให้รับโอนเงินจากบัตรเครดิตได้ไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มา: http://www.paypal.com

เมื่อต้นปี 2001 Paypal มีสมาชิกเกือบ 7 ล้านราย และมีร้านที่เปิดรับชำระเงินจาก Paypal กว่า 7,000 แห่ง โดยในแต่ละวัน
มีจะมีปริมาณการโอนและชำระเงินเงินผ่านระบบของ Paypal กว่า 160,000 ครั้งต่อวัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน

4. จุดเด่นในการประกอบธุรกิจ
จุดเด่นในการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของ Paypal คือ การประกอบธุรกิจที่สามารถหาช่องว่างของตลาดการ
โอนและชำระเงินระหว่างบุคคลกับบุคคล โดยการใช้อีเมล์เป็นสื่อกลางในการแจ้งการทำธุรกรรมแต่ละครั้งให้ลูกค้าทราบ ซึ่งทำให้
บริษัทสามารถให้บริการลูกค้าได้สะดวกและรวดเร็วกว่าการให้บริการแบบเดิมที่เป็นการชำระเงินด้วยเงินสด การใช้เช็ค
การโอนเงิน และการใช้บัตรเครดิต

จุดเด่นอีกประการหนึ่งของ Paypal คือ การคิดอัตราค่าบริการของ Paypal อยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าค่าธรรมเนียมบริการของบัตร
เครดิตซึ่งอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3 ถึง 5 ของมูลค่าที่ชำระเงิน และค่าธรรมเนียมบริการโอนเงินของธนาคารซึ่งคิดค่าบริการขั้นต่ำ
อยู่ที่ 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ

นอกจากนี้ Paypal มีวิธีการหาลูกค้าโดยการกระจายสมาชิกจากผู้ส่งเงินไปสู่ผู้รับชำระเงินอย่างเป็นลูกโซ่ โดยกำหนดให้ผู้ที่จะ
รับเงินจากผู้ส่งในระบบต้องเป็นสมาชิกของ Paypal เท่านั้น ซึ่งทำให้ Paypal มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

5. ปัจจัยในความสำเร็จ
ธุรกิจการให้บริการโอนและชำระเงินออนไลน์เช่น Paypal จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ
  1. สามารถสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าได้ เนื่องจากในการดำเนินธุรกิจทั้งหมดของ Paypal
    มีความเกี่ยวข้องกับเงินของผู้ใช้บริการ ซึ่งในการทำธุรกรรมแต่ละครั้งลูกค้าจะให้ความสำคัญต่อการรักษาความ
    ปลอดภัยในอันดับต้นๆ ดังนั้น Paypal จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัย
    และความถูกต้องอยู่เสมอ ในระหว่างเริ่มต้นการประกอบธุรกิจ Paypal ได้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าด้วยการ
    แต่งตั้งคณะที่ปรึกษา (Board of Advisory) ที่มาจากกลุ่มผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูล
    (Encryption Technology)
  2. สามารถคิดค่าบริการในอัตราที่ต่ำกว่าแบบเดิมคือบริการของธนาคารและบัตรเครดิต นอกจากการให้บริการ
    อำนวยความสะดวกและรวดเร็วให้แก่ลูกค้าแล้ว จุดเด่นอีกประการหนึ่งของ Paypal คือ การคิดค่าบริการในอัตรา
    ที่ต่ำกว่าบริการของธนาคารและบัตรเครดิต ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่ง
    บริษัทจำเป็นต้องสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันดังกล่าวไว้ หรือเพิ่มบริการมูลค่าเพิ่มอื่นๆ
    (Value Added) เพื่อจูงใจให้ลูกค้าใช้บริการต่อไป
  3. มีร้านค้าออนไลน์จำนวนมากรับชำระค่าบริการด้วยระบบชำระเงินของ Paypal ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความสะดวก
    ให้แก่ลูกค้ามากขึ้น ในปัจจุบันมีร้านค้ากว่า 7,000 แห่ง และเว็บไซต์ประมูลเกือบทั้งหมดที่ยอมรับการ
    ชำระเงินด้วยระบบของ Paypa

6. ธุรกิจอื่นๆ ที่มีโมเดลคล้ายกัน

บริษัทอื่นที่มีโมเดลในการทำธุรกิจที่คล้ายคลึงกับ Paypal ได้แก่ Billpoint (www.billpoint.com) ซึ่งให้บริการชำระเงิน
แก่ลูกค้าของตลาดประมูล Ebay.com c2it (www.c2it.com) ซึ่งให้บริการถอนเงินจากธนาคารและชำระเงิน และ MoneyZap
(www.moneyzap.com) ซึ่งให้บริการชำระเงินออนไลน์

7. โอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทย

ในปัจจุบัน ธนาคารพาณิชย์บางแห่งของไทยได้เริ่มให้บริการธนาคารออนไลน์ (Internet Banking) ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถ
โอนหรือชำระเงินระหว่างกันได้ อย่างไรก็ตาม บริการดังกล่าวยังมีความไม่สะดวก หลายประการ เช่น ไม่สามารถใช้กับผู้รับ
ชำระเงินที่หลากหลาย และต้องแจ้งรายชื่อผู้รับชำระเงินก่อนล่วงหน้า เป็นต้น ส่วนการให้บริการในลักษณะเดียวกันกับ Paypal
นั้นยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะขัดกับกฎระเบียบใดที่ใช้กำกับดูแลสถาบันการเงิน หรือถือว่าเป็นการออกเงินสกุลใหม่ตามกฎหมาย
เงินตราหรือไม่

ร้านค้าออนไลน์ควรศึกษาและเตรียมความพร้อมที่จะยอมรับระบบชำระเงินออนไลน์ของ Paypal หรือระบบชำระเงินออนไลน์อื่นๆ
ในลักษณะเดียวกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าของตน

Saturday, June 6, 2009

ลงทุนธุรกิจนวดแผนไทย ตอน 5

อุปกรณ์หลักที่ใช้

1. เตียงนวดตัวหรือเบาะนวดตัว พร้อมหมอน ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพและวัสดุที่ใช้ มีตั้งแต่
1,500 – 6,500 บาท อุปกรณ์ประเภทนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านจำ หน่ายอุปกรณ์นวดแผน
ไทย และร้านเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป
2. เตียงนวดฝ่าเท้า ราคาประมาณ 2,700 – 4,000 บาท สถานที่จำ หน่ายเช่นเดียวกับเตียง
นวดตัว
3. เสื้อกราวน์สำ หรับพนักงานนวด ราคาประมาณ 150 – 300 บาท หาซื้อได้ที่ตลาดโบ๊เบ๊
4. เสื้อและกางเกง สำ หรับลูกค้านวดตัว ราคาประมาณ 200 – 300 บาท หาซื้อได้ที่ตลาดโบ๊เบ๊
5. กางเกงสำ หรับลูกค้านวดฝ่าเท้า ราคาประมาณ 100 บาท หาซื้อได้ที่ตลาดโบ๊เบ๊
6. ผ้าปูเตียง ปลอกหมอน ราคาตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป ปกตินิยมสีฟื้น ดูสบายตา หาซื้อได้ที่
ตลาดพาหุรัด หรือสำ เพ็ง
7. ผ้าขนหนู ใช้ห่อเท้ากรณีนวดฝ่าเท้า หาซื้อได้ที่ตลาดโบ๊เบ๊ หรือพาหุรัด
8. ครีมหรือนํ้ามันสำ หรับนวดฝ่าเท้า สถานที่จำ หน่าย เช่น โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระ
เชตุพนฯ (วัดโพธิ์) ขนาด 1800 ซีซี ราคาขายปลีกประมาณ 650 บาท
9. นํ้ามันนวดตัว สถานที่จำ หน่าย เช่น โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์)
ขนาด 4000 ซีซี ราคาขายปลีกประมาณ 580 บาท
10. ไม้กดจุด เป็นอุปกรณ์ที่ทำ ขึ้นจากไม้เพื่อใช้แทนนิ้วมือ ไม้ดังกล่าวใช้กดจุดที่บริเวณฝ่าเท้า
ตามตำ แหน่งศาสตร์ของการนวดฝ่าเท้า ราคาอันละประมาณ 20 บาท ผู้ลงทุนสามารถหา
ซื้อได้ที่สถาบันแพทย์แผนไทยและร้านจำ หน่ายอุปกรณ์นวดทั่วไป

การจ้างพนักงาน
• การสรรหาพนักงานนวด
ผูป้ ระกอบการอาจใช้วิธีประกาศรับสมัครตามโรงเรียน หรือสถาบันสอนนวดแผนไทยที่มีมาตรฐาน
เพราะเป็นแหล่งผลิตบุคลากรโดยตรง รวมถึงการประกาศรับสมัครทางอินเตอร์เน็ต แม้พนักงานนวดจะ
ถูกดึงตัวกันอยู่บ้าง เนื่องจากพนักงานนวดที่มีฝีมือยังมีจำ นวนน้อย แต่ร้านที่มีการบริหารจัดการที่ดี
รวมถึงให้ค่าตอบแทนที่จูงใจและเหมาะสม จะไม่ค่อยประสบกับปัญหานี้สักเท่าใดนัก เพราะโดยส่วนมาก
ถ้าพนักงานมีความพอใจและสบายใจกับงานที่ทำ อยู่ ก็มักอยู่นาน ไม่ย้ายไปไหน

• จำ นวนพนักงานนวด
จำ นวนพนักงานนวดจะขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจเป็นหลัก โดยดูจากจำ นวนเตียงที่ให้บริการ และ
จำ นวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในเวลาเดียวกัน เช่น
ร้านที่มีจำ นวนเตียงให้บริการ 7 เตียง ควรมีพนักงานนวด อย่างน้อย 7 คน เพราะถ้าใน
ช่วงที่ลูกค้าเข้ามาคราวเดียวกัน 7 คน ร้านก็จะสามารถให้บริการได้ แต่ถ้าลูกค้ามามาก
กว่า 7 คน ทางร้านจะต้องจัดสถานที่ให้ลูกค้านั่งรอ
• การทำ งานของพนักงาน
ผู้ประกอบการอาจแบ่งการทำ งานเป็นกะ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการเปิดบริการใน 1 วัน เช่น ถ้าร้าน
เปิดบริการตั้งแต่ 9.00 น. – 24.00 น. ผู้ประกอบการอาจแบ่งกะทำ งาน เป็น 2 กะ เช่น กะที่ 1 เวลา
9.00 น. – 17.00 น. กะที่ 2 เวลา 17.00 น. – 24.00 น.
• จำ นวนพนักงานในแต่ละวัน
จำ นวนพนักงานในแต่ละวันอาจไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมลูกค้า เช่น วันธรรมดา ร้านอาจมี
พนักงานนวด 5 คน ต่อเตียงให้บริการ 7 เตียง เนื่องจากจำ นวนลูกค้าไม่ค่อยมากในคราวเดียวกัน ส่วน
วันเสาร์ – อาทิตย์ ลูกค้าจะค่อนข้างมาก ร้านก็ต้องจัดให้มีพนักงาน 1 คน ต่อ 1 เตียง เป็นต้น
• การให้ค่าจ้างแก่พนักงานนวด
ร้านนวดแผนไทยสามารถให้ค่าจ้างแก่พนักงานได้หลายแบบ เช่น
- จ้างเป็นรายวัน โดยแบ่งเปอร์เซ็นต์จากการให้บริการแต่ละครั้ง เช่น เจ้าของ 50% พนักงาน
นวด 50% หรือเจ้าของ 60% พนักงาน 40% แล้วแต่ตกลง กรณีนี้ ทางร้านมักจะไม่มีเงินเดือน
ประจำ ให้ แต่บางแห่ง เจ้าของธุรกิจจะประกันรายได้ขั้นตํ่าให้พนักงาน 100 - 200 บาท/วัน กรณีไม่
มีลูกค้าเลย
- จ้างรายวัน โดยคิดค่าจ้างพนักงานนวดเป็นรายชั่วโมง เช่น ชั่วโมงละ 70 บาท ส่วนเงินพิเศษ
ที่ลูกค้าให้กับพนักงานนวด ถือเป็นสิทธิของพนักงานไป การจ้างเช่นนี้ ทางร้านมักไม่มีเงินเดือนประจำ
ให้
- จ้างรายเดือน เดือนละประมาณ 4,500 - 6,000 บาท หรือตามความเหมาะสม

• การคัดเลือกพนักงานนวด จะต้องคำ นึงถึง
พนักงานนวดควรมีความรู้ ความสามารถในการนวด โดยต้องผ่านการอบรมมา
มีมนุษย์สัมพันธ์ดี สุภาพ พูดจาไพเราะ
รักการให้บริการ

สถานที่ฝึกอบรม
ปัจจุบัน สถาบันหลายแห่งได้สอนการนวดแผนไทย นวดฝ่าเท้า การฝึกอบรมจากสถานอบรมจะ
เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 – 4,000 บาทต่อหลักสูตร ระยะเวลา 5 – 10 วัน เช่น
• โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) โทร. 0-2221-2974

• สถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โทร. 0-2591-0598-99
• สมาคมแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 0-2965-9194-5
• โรงเรียนแพทย์แผนไทย(สมาคมแพทย์อายุรเวทฯ) จ.นนทบุรี 0-2950-5939
• ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียน ศูนย์ฝึกอาชีพ กรุงเทพมหานคร

ลงทุนธุรกิจนวดแผนไทย ตอน 4

การส่งเสริมการขาย / การดึงดูดใจลูกค้า

ผู้ประกอบการควรจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการขายและดึงดูดใจลูกค้า ดังนี้
• ติดต่อบริษัททัวร์ บริษัทท่องเที่ยว หรือไกด์ เพื่อให้แนะนำ นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้
บริการ
• แจกใบปลิวแนะนำ ร้านและการบริการ ตามย่านที่ร้านตั้งอยู่
• รับสมัครสมาชิก โดยไม่เก็บค่าสมาชิกหรือเสียค่าสมาชิกตํ่า พร้อมให้สิทธิประโยชน์แก่
สมาชิก เช่น ส่วนลดแถมการให้บริการ การสะสมแต้มเพื่อแลกสินค้าหรือบริการ
• จัดกิจกรรมประจำ ปี เช่น จัดวันผู้สูงอายุ สำ หรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปสามารถนวดครึ่ง
ราคา เป็นต้น
• จัดกิจกรรมเพื่อนแนะนำ เพื่อน โดยมีของขวัญให้ ทั้งผู้แนะนำ และผู้มาใหม่
• สิ่งสำ คัญที่ดึงดูดใจและสร้างความประทับใจให้ลูกค้า ก็คือการบริการที่ดีเลิศ ตั้งแต่การแต่ง
กายที่สุภาพและสะอาดของพนักงาน การพูดจาไพเราะ การเอาใจใส่ลูกค้าด้วยความจริงใจ
• ลงโฆษณาตามนิตยสารแนวสุขภาพ หรือ ชีวจิต เป็นต้น
• ลงโฆษณาในอินเตอร์เน็ต

สภาพการแข่งขันในตลาด

ปัจจุบัน การนวดแผนไทยประสบกับภาวะการแข่งขันค่อนข้างสูง ผู้ประกอบการหันมาดำ เนิน
ธุรกิจนี้เพิ่มขึ้น 10-20% ต่อปี นอกจากผู้ประกอบการรายใหม่แล้ว การนวดแผนไทยยังกลายเป็นบริการ
เสริมของธุรกิจที่มีอยู่แล้ว เช่น ตามร้านสถานเสริมสวย เสริมความงาม หรือโรงพยาบาลบางแห่ง
แม้ผู้ประกอบการจะหันมาทำ ธุรกิจนี้กันมาก แต่ส่วนหนึ่งเป็นการเปิดธุรกิจโดยไม่มีการบริหาร
จัดการที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนาที่ดีเพียงพอ ผู้ประกอบการที่เปิดธุรกิจนวดแผนไทยจึงต้องปิดตัวเอง
ไปหลายราย และเนื่องจากธุรกิจนี้ จัดเป็นบริการเสริมที่นอกเหนือจากปัจจัยสี่ ดังนั้น การแข่งขันจึงเน้น
ไปที่การบริการที่ดีได้มาตรฐาน และมีจุดเด่นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้าน
• การตกแต่งสถานที่ให้ดูสะอาด สวยงาม สบายตา
• สถานที่ตั้ง มีที่จอดรถสะดวก ไปมาง่าย
• มีบริการที่หลากหลายให้ลูกค้าเลือก เช่น นวดตัว นวดฝ่าเท้า นวดนํ้ามันหอมระเหย นวด
ประคบด้วยสมุนไพร
• การต้อนรับของพนักงานที่สุภาพเรียบร้อย
• การนวดได้คุณภาพตามมาตรฐาน
จะเห็นว่า ผู้ประกอบการที่ประสบความสำ เร็จต้องพัฒนาทักษะความรู้ให้แก่บุคคลากรอยู่ตลอด
เวลา รวมถึงพัฒนารูปแบบบริการให้ดีขึ้น

การดำ เนินการ

การดำ เนินการของธุรกิจนวดแผนไทย แบ่งได้ดังนี้
ขั้นตอนการให้บริการลูกค้า
การจัดห้องนวด
อุปกรณ์ที่ใช้
การจัดจ้างพนักงาน
สถานที่ขอรับการอบรมเพิ่มเติม
ขั้นตอนการให้บริการลูกค้า

1. การต้อนรับลูกค้า
ผู้ที่ทำ หน้าที่ต้อนรับลูกค้า ควรเป็นผู้ประกอบการเอง เพราะสิ่งนี้จะสร้างความประทับแก่ลูกค้า
มากกว่า ผู้ประกอบการควรดูว่าลูกค้าต้องการใช้บริการแบบไหน จากนั้น จึงทำ การจัดลำ ดับการให้
บริการแก่ลูกค้า กำ หนดเตียงและพนักงานนวดให้ลูกค้า ถ้าไม่มีเตียงว่าง ผู้ประกอบการก็ควรจัดสถาน
ที่ให้ลูกค้านั่งรอ โดยระหว่างรอ ทางร้านอาจบริการนํ้าชา หรือนํ้าสมุนไพรให้ลูกค้า
กรณีพนักงานนวด ทางร้านอาจจัดลำ ดับการให้บริการสลับหมุนเวียนกัน เพื่อให้โอกาสแก่
พนักงานเท่าเทียมกัน เช่น ถ้าร้านมีพนักงานนวด 3 คน ชื่อ ก ข และ ค
- วันที่ 1 จัดลำ ดับผู้ให้บริการเริ่มต้นดังนี้ พนักงาน ก ข และ ค
- วันที่ 2 จัดลำ ดับผู้ให้บริการเริ่มต้นดังนี้ พนักงาน ข ค และ ก
- วันที่ 3 จัดลำ ดับผู้ให้บริการเริ่มต้นดังนี้ พนักงาน ค ก และ ข
- วันที่ 4 จัดลำ ดับผู้ให้บริการเริ่มต้นดังนี้ พนักงาน ก ข และ ค หมุนเวียนกันไป
2. การเตรียมตัวก่อนให้บริการ
• กรณีนวดตัว โดยปกติ ลูกค้าจะต้องปฏิบัติ ดังนี้
- เปลี่ยนเป็นชุดที่ทางร้านจัดเตรียมไว้ให้ เป็นเสื้อ กางเกงที่หลวมๆ สบายๆ
- ล้างมือ ล้างเท้าให้สะอาด
- ส่วนพนักงานนวดก็ต้องรักษาความสะอาดของร่างกาย โดยเฉพาะมือและเท้า
• กรณีนวดฝ่าเท้า โดยปกติ ลูกค้าจะต้องปฏิบัติ ดังนี้
- เปลี่ยนเป็นกางเกงที่ร้านจัดเตรียมไว้ให้
- ล้างเท้าให้สะอาด (โดยปกติ พนักงานนวดจะเป็นผู้ทำ ความสะอาดให้)
- ส่วนพนักงานนวดก็ต้องรักษาความสะอาดของร่างกายโดยเฉพาะมือ
3. หลังการให้บริการ
ทางร้านจัดเตรียมให้ลูกค้าเปลี่ยนชุด ระหว่างนั้น ทางร้านอาจมีนํ้าอุ่นหรือนํ้าชาบริการ จากนั้น
ลูกค้าชำ ระค่าบริการ ส่วนเสื้อหรือกางเกงที่ลูกค้าใส่ระหว่างนวดตัวหรือนวดฝ่าเท้า ทางร้านจะต้องนำ ไป
ซักให้สะอาดก่อนนำ มาใช้ใหม่ทุกครั้ง

การจัดห้องนวด
รูปแบบการจัดห้องนวดขึ้นอยู่กับสถานที่และเงินทุน อย่างไรก็ตาม ห้องนวดแบ่งหลักๆ ตาม
ลักษณะการนวดได้ ดังนี้
1. กรณีนวดตัว
เนื่องจากการนวดตัวเป็นบริการที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ไฟในห้องจึงควรปรับความสว่างได้ ถ้า
เป็นสถานที่หรูหรา เช่น โรงแรม ผู้ประกอบการอาจกั้นเป็นห้องถาวร โดยให้บริการห้องละ 1 คน

หรือ 2 – 3 คน ถ้าเป็นกลุ่มครอบครัวหรือเพื่อนสนิท แต่หากเป็นสถานที่ไม่หรูหรามากนัก ผู้
ประกอบการอาจกั้นเป็นห้อง โดยใช้ม่านทึบที่เลื่อนได้
2. กรณีนวดฝ่าเท้า
โดยปกติ การนวดฝ่าเท้าจะมีเตียงนวดฝ่าเท้าโดยเฉพาะ ลูกค้าสามารถนั่งเหยียดขาตามสบาย ผู้
ประกอบการอาจวางเตียงนวดฝ่าเท้าเรียงกัน โดยไม่จำ เป็นต้องกั้นเป็นห้อง แต่กรณีที่ลูกค้าต้องการ
ความเป็นส่วนตัว ทางร้านอาจใช้เตียงนวดตัวแทนเตียงนวดฝ่าเท้า

Friday, May 29, 2009

ลงทุนธุรกิจนวดแผนไทย ตอน 3

ส่วนผสมทางการตลาด (4 P)

ผลิตภัณฑ์/บริการ

1.นวดแผนไทย (กดจุด, จับเส้น)

ลักษณะการนวดแผนไทยแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ
1. การนวดแบบยืด – ดัด ลักษณะการนวดแบบนี้ คือ การยืด – ดัดกล้ามเนื้อ – เส้นเอ็น –
ผังผืด ให้ยืดคลาย
2. การนวดแบบจับเส้น ลักษณะการนวดคือการใช้นํ้าหนักกดลงตลอดลำ เส้นที่กระหวัดไป
ตามอวัยวะต่างๆ การนวดชนิดนี้ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของผู้นวด ซึ่งได้ทำ การนวด
มานาน และสังเกตถึงปฏิกิริยาของแรงกดที่แล่นไปตามอวัยวะต่างๆ
3. การนวดแบบกดจุด ลักษณะการนวด คือ การใช้นํ้าหนักกดลงไปบนจุดของร่างกาย การนวด
นี้เกิดจากประสบการณ์และความเชื่อว่า อวัยวะของร่างกายมีแนวสะท้อนอยู่บนส่วนต่างๆ และ
เราสามารถกระตุ้นการทำ งานของอวัยวะนั้น โดยการกระตุ้นจุดสะท้อนที่อยู่บนส่วนอื่นๆ ของ
ร่างกาย

2.การนวดฝ่าเท้า แบ่งเป็น
ก. นวดด้วยมือ
ข. นวดเท้าด้วยไม้กดจุด
ค. นวดเท้าด้านใน – ด้านนอกด้วยมือ
ง. นวดหลังเท้าด้วยมือ
จ. ใช้ไม้กดจุด
ฉ. นวดบริเวณเข่าด้วยมือ
ช. นวดบริเวณหน้าแข้งและน่องด้วยมือ
ซ. นวดบริเวณนิ้วเท้า
ฌ. กระตุ้นเท้าช่วงสุดท้าย
ญ. กระตุ้นเท้าก่อนแก่ผ้าพันเท้าออกและเช็ดครีม

3.การประคบสมุนไพรสด
การประคบสมุนไพร หมายถึง การนำ เอาสมุนไพรทั้งสดหรือแห้งหลายๆ ชนิด โขลกพอแหลก
และคลุกรวมกัน ห่อด้วยผ้า ทำ เป็นลูกประคบ จากนั้น นึ่งด้วยไอความร้อน แล้วนำ ไปประคบ
4.การนวดเพื่อรักษา เป็นการนวดในกรณีที่ลูกค้ามีปัญหาสุขภาพ เช่น ข้อเท้าแพลง คอตก
หมอน ข้อไหล่ติด เป็นต้น
5.นวดนํ้ามัน การนวดนํ้ามันเป็นการนวดโดยใช้นํ้ามันสมุนไพร ชโลมบนร่างกายผู้ถูกนวด แล้ว
ใช้เทคนิคการรีดและไล้เส้น ความร้อนจากนํ้ามัน ผนวกกับคุณสมบัติของสมุนไพร จะทำ ให้
ระบบต่างๆ ของร่างกายทำ งานได้ดีขึ้น และคลายจากความตึงเครียด

รูปแบบการนวดข้างต้นเป็นการบริการทั่วไปที่มีในท้องตลาด สถานประกอบการแต่ละแห่งไม่จำ
เป็นต้องมีครบทุกรูปแบบ ผู้ประกอบการอาจมีบริการน้อยกว่าหรือมากกว่านี้ได้ แต่ถ้าเป็นธุรกิจขนาด
เล็กโดยทั่วไป จะเน้นการนวดตัว และการนวดฝ่าเท้าเป็นหลัก

การกำ หนดราคาค่าบริการ

โดยปกติ ค่าบริการจะคิดตามชั่วโมงการนวด สถานประกอบการแต่ละแห่งอาจกำ หนดราคาค่า
บริการแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่ให้บริการ และค่าบริการของคู่แข่ง หากแต่โดยเฉลี่ย ค่าบริการ
จะเป็นดังนี้

นวดตัว โดยเฉลี่ย 300 - 400 บาท/ 2 ชั่วโมง
นวดฝ่าเท้า โดยเฉลี่ย 150 - 250 บาท/ชั่วโมง
นวดประคบสมุนไพร โดยเฉลี่ย 300 – 350 บาท/ 2 ชั่วโมง
นวดนํ้ามัน โดยเฉลี่ย 600 – 800 บาท/ 2 ชั่วโมง

ช่องทาง/ทำ เลที่ตั้ง

ทำ เลที่ตั้งของธุรกิจนี้ ควรอยู่ในย่านใกล้กลุ่มเป้าหมาย การเดินทางสะดวก มีที่จอดรถ
หรืออยู่ตามแหล่งชุมชน ไม่ว่าจะเป็นตลาด ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
หรือถ้าผู้ประกอบการต้องการรองรับลูกค้าที่ชอบความสงบ สถานที่เป็นสัดส่วน เหมาะแก่การ
พักผ่อน ก็อาจเปิดบริการตามรีสอร์ท หรือโรงแรม
แต่สิ่งที่ควรพิจารณาควบคู่ไปด้วย คือ ถ้าผู้ประกอบการมีสถานที่เองและเหมาะกับการ
เปิดธุรกิจนวดแผนไทย ก็สามารถลงทุนได้ แต่ถ้าต้องเช่าสถานที่ ผู้ประกอบการควรศึกษาเรื่อง
ค่าเช่าและสัญญาเช่า ว่าเหมาะสมกับการลงทุนหรือไม่ นอกจากนี้ ก่อนเปิดกิจการ ผู้ประกอบ
การควรหาข้อมูลด้วยว่า ในย่านที่จะไปเช่านั้น มีผู้ลงทุนอยู่ก่อนหรือไม่ ผู้ประกอบการจะ
สามารถแข่งขันกับเขาได้อย่างไร และลูกค้ามีจำ นวนเพียงพอให้ผู้ประกอบการแทรกพื้นที่ใน
ตลาดได้หรือไม่ อย่างไร

Monday, May 25, 2009

ธุรกิจนวดแผนไทย ตอน 2

3.การตลาด

3.1.ภาพรวมการตลาด
การนวดแผนไทยเป็นวิธีบำ บัดรักษาโรคที่เป็นธรรมชาติที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณ โดยภาพรวม
ธุรกิจนี้มีมูลค่าตลาดไม่น้อย จากข้อมูลของผู้อำ นวยการโรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ์ พบว่าตลาด
นวดแผนไทย เมื่อปี 2538 มีมูลค่ากว่าสองหมื่นล้านบาท แต่ปัจจุบัน เชื่อว่ามูลค่ารวมของตลาดได้เพิ่ม
ขึ้น ซึ่งเป็นการเติบโตพร้อมๆ กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
เนื่องจากการนวดเป็นบริการที่นอกเหนือจากปัจจัยสี่ ดังนั้น ลูกค้าที่มาใช้บริการจึงมักอยู่ในกลุ่ม
ของผู้มีรายได้ปานกลางและรายได้สูง ความต้องการของตลาดจะขึ้นอยู่กับทำ เลสถานที่เป็นหลัก ธุรกิจนี้
สามารถดำ เนินการได้ตั้งแต่ระดับผู้ประกอบการคนเดียว รับจ้างนวดตามบ้าน เปิดบริการนวดในบ้าน
ของตัวเอง หรือเปิดบริการตามแหล่งชุมชน เช่น ตลาด หมู่บ้านขนาดใหญ่ ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า
ใกล้แหล่งท่องเที่ยว ไปจนถึงเปิดบริการในสถานที่ค่อนข้างหรูหรา เช่น โรงแรม รีสอร์ท เป็นต้น
ปัจจุบัน การนวดแผนไทย ยังเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติในแถบต่างๆ เช่น แถบเอเชีย อเมริกา
และยุโรป เมื่อนักท่องเที่ยวเหล่านี้ทดลองใช้บริการแล้ว ได้เกิดความประทับใจในการนวดแผนไทย ทำ
ให้การนวดแผนไทยโด่งดังข้ามทวีป การนวดแผนไทยจึงเป็นที่ต้องการมากในต่างประเทศ

3.2. กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้

กลุ่มลูกค้าทั่วๆ ไป ได้แก่ บุคคลทั่วไปที่ต้องการผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำ งาน
จากชีวิตประจำ วัน ลูกค้ากลุ่มนี้จะใช้บริการนวดทั่วไป
การวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อาจจำ แนกตาม
- อายุ โดยทั่วไปบุคคลที่นิยมนวดแผนไทยจะเป็นวัยกลางคนขึ้นไป
- เพศ เพศชายมักจะนิยมใช้บริการมากกว่าเพศหญิง (ชาย 80% หญิง 20%)
- รายได้ รายได้เป็นส่วนหนึ่งที่ลูกค้าใช้ตัดสินใจว่าจะรับบริการร้านนี้หรือไม่ ลูกค้าที่มี
รายได้และฐานะดีมักจะใช้บริการในสถานที่หรูหรา ส่วนลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางลงไป
ก็อาจดูที่สถานที่ และอัตราค่าบริการเป็นหลัก
- อาชีพ เช่น นักธุรกิจ กลุ่มข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มักใช้บริการในสถานที่ที่เป็นสัดส่วน
เพราะกลุ่มนี้จะต้องการความสงบและความเป็นส่วนตัว
- นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา และ
แถบยุโรป
กลุ่มลูกค้าที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น
- คอตกหมอน
- ไหล่ติด
- ปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก
- อัมพฤต อัมพาต ฯลฯ

3.3. ธุรกิจหลัก/เสริม
ธุรกิจหลัก คือการบริการนวดแผนไทย
ธุรกิจเสริม เนื่องจากลูกค้าที่เข้ามารับบริการแต่ละครั้งใช้เวลาไม่ตํ่ากว่า 1 ชั่วโมง ดังนั้น
โอกาสที่ผู้ประกอบการ หรือพนักงานจะสร้างความคุ้นเคยกับลูกค้าก็ย่อมง่าย การนำ เสนอสินค้าหรือ
บริการเสริมอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย จึงสามารถทำ ได้อีกช่องทางหนึ่ง เช่น

• การจำ หน่ายผลิตภัณฑ์ที่ทำ จากสมุนไพรไทย เช่น เครื่องสำ อางสมุนไพร เครื่องดื่ม
สมุนไพร ฯลฯ
• จำ หน่ายผลิตภัณฑ์ที่ทำ จากวัสดุของไทย
• บริการเสริมสวย เช่น นวดหน้า ทำ ผม

Saturday, May 23, 2009

ธุรกิจนวดแผนไทย ตอน 1

ปัจจุบัน ปัญหาเมื่อยขบ อาการปวดตามร่างกาย หรืออาการเครียด มักจะเกิดขึ้นกับหลายๆคน
โดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น สาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ปวดเมื่อยจากการนั่งทำ งานนานๆ คอตก
หมอน หรือเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้ทำ ให้ธุรกิจนวดแผนไทยเกิดขึ้นมากมาย เพื่อบรรเทา
ปัญหาสุขภาพและคลายเครียด ธุรกิจนวดแผนไทยจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำ หรับผู้ต้องการมีธุรกิจของ
ตนเอง

1. ศักยภาพของผู้ประกอบการ
ผู้ที่จะทำ ธุรกิจนวดแผนไทย ต้องคำ นึงถึงคุณสมบัติพื้นฐาน ดังนี้
• มีใจรักในการให้บริการ
เนื่องจากว่าการนวดแผนไทย เป็นธุรกิจบริการ ผู้ประกอบการจึงต้องมีใจรักการให้
บริการ มีความซื่อสัตย์ จริงใจ สุภาพ พูดจาไพเราะ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
• มีศีลธรรม และมีสัมมาอาชีวะ
การนวดเป็นการบริการแบบตัวต่อตัว โอกาสใกล้ชิดและสัมผัสร่างกายลูกค้ามีอยู่ตลอด
เวลา ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพนี้จึงต้องให้การนวดเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีศีลธรรม
• ควรมีพื้นฐานความรู้ด้านการนวดแผนไทย หรือผ่านการฝึกอบรมจากสถานฝึกอบรม
อย่างน้อย 30 – 75 ชม. หรือ 15 – 45 วัน เพราะพื้นฐานดังกล่าว จะทำ ให้ผู้ประกอบการมี
ความเข้าใจในธุรกิจนี้อย่างถ่องแท้
• มีทำ เลที่เหมาะสม มองเห็นชัดเจน การคมนาคมสะดวก เพราะธุรกิจนี้หากมีทำ เลที่ดี ก็
ถือว่าประสบความสำ เร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง

2. การติดต่อกับหน่วยงานราชการ
ธุรกิจนวดแผนไทยจะเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการใน 3 ด้าน คือ
• การจดทะเบียนพาณิชย์จัดตั้งธุรกิจ โดยทั่วไป ธุรกิจด้านบริการอย่างเดียวจะได้รับการ
ยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ แต่ถ้าร้านมีการขายสินค้าอื่นด้วย ผู้ลงทุนก็ต้องขอจด
ทะเบียนพาณิชย์ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดการจัดตั้งและการขออนุญาตได้ที่
www.ismed.or.th, www.thairegistration.com
• การเสียภาษีเงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้ประกอบการสามารถศึกษารายละเอียดการจดทะเบียนและการยื่นชำ ระภาษีได้ที่
www.rd.go.th

• การนวดที่ต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ
ตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 ระบุว่า การนวดหากเป็นการกระทำ
เพื่อบำ บัดโรค วินิจฉัยโรค ฟื้นฟูสมรรถภาพ ก็ถือเป็นการประกอบโรคศิลปะ ผู้ที่จะทำ
การนวดได้ ต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์
แผนไทยหรือเวชกรรมโบราณ จากคณะกรรมการวิชาชีพก่อน และต้องดำ เนินการใน
สถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น
สถานที่ยื่นคำ ขอ
1. ในส่วนกลาง ยื่นที่กองการประกอบโรคศิลปะ สำ นักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
2. ในส่วนภูมิภาค ยื่นที่สำ นักงานสาธารณสุขอำ เภอ หรือสำ นักงานสาธารณสุขจังหวัด
ผูส้ นใจศึกษารายละเอียดขั้นตอนการขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะได้ที่
http://www.ismed.or.th/knowledge/alpha/body1/d_f_44.htm
ถา้ ผูป้ ระกอบการมีใบประกอบโรคศิลปะและใบอนุญาตสถานพยาบาล(คลินิก) ก็
สามารถทำ การนวดรักษาโรคได้ แต่ร้านต้องปฏิบัติตามระเบียบสถานพยาบาลทุกประการ เช่น
การแสดงป้ายผู้ประกอบโรคศิลปะ / เวลาทำ การ การทำ บันทึกประวัติคนไข้ เป็นต้น

ตามกฎหมาย ผู้นวดต้องรับผิดชอบถ้าเกิดอันตรายแก่ผู้ถูกนวด ดังนี้
หากทำ ให้ผู้อื่นเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ จะผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
ต้องโทษจำ คุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ
ถ้าผู้ถูกนวดเป็นอันตรายสาหัส โทษจะเป็นจำ คุก ตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี ดังนี้
ก. ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียม่านประสาท
ข. เสียอวัยวะสืบพันธุ์ หรือความสามารถในการสืบพันธุ์
ค. เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด
ง. หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว
จ. แท้งลูก
ฉ. จิตพิการอย่างติดตัว
ช. ทุพพลภาพ หรือเจ็บป่วยเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต
ซ. ทุพพลภาพ หรือเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือจนประกอบ
กรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน
ถ้ากระทำ โดยประมาท เช่น นวดแล้วเกิดอันตรายสาหัส โทษจำ คุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่
เกินหกพันบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ
การนวดผู้ป่วยแล้วทำ ให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ถือเป็นการกระทำ โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึง
แก่ความตาย ต้องระวางโทษจำ คุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท

การนวดที่ไม่ต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ ในกรณีที่
- เป็นการนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย ไม่ใช่เพื่อรักษาโรค
- ไม่ขึ้นป้ายรักษาโรค เช่น รักษาโรคอัมพฤต อัมพาต เบาหวาน ไต ปวดหลัง เป็นต้น
การแสดงป้าย อาจเขียนว่าเป็น “นวดแผนโบราณ” หรือ “นวดฝ่าเท้า” ได้ แต่จะแสดง
ข้อความว่า “พร้อมจะบำ บัดรักษาโรค” หรือ ”ฟื้นฟูสภาพ” หรือ “วินิจฉัยโรค” ไม่ได้
โทษทางกฎหมาย
หากผู้ฝ่าฝืนกระทำ การนวดโดยมีการรักษาโรค แต่มิได้เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบโรค
ศิลปะ โทษทางกฎหมายระบุไว้ว่าจะจำ คุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ
หรือแม้ว่าผู้ฝ่าฝืนจะไม่ได้นวดรักษาโรค แต่ขึ้นป้ายหรือแสดงว่าพร้อมจะประกอบโรค
ศิลปะ ผู้ฝ่าฝืนก็มีความผิดโทษจำ คุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้ง
ปรับ

Friday, May 8, 2009

ธุรกิจเติมเงินมือถือออนไลน์ให้ผลตอบแทนสุงสุดถึง 95%

ธุรกิจเติมเงินมือถือออนไลน์ให้ผลตอบแทนสุงสุดถึง 95%

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้มือถือระบบเติมเงิน…..
มองหารายได้เสริมจากธุรกิจออนไลน์ง่ายๆ สบายๆ ที่ได้เงินจริง100% …..
และสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ นี่คืองานของคุณ

Siam Topup คือ ธุรกิจเติมเงินออนไลน์ สามารถเติมเงินมือถือได้ทุกระบบ เมื่อคุณสมัครสมาชิก คุณจะเป็นเจ้าของร้าน
สามารถรับเติมเงินมือถือออนไลน์ เติมเงินเกมออนไลน์ ผ่านอินเตอร์เน็ต ได้ทันที เหมาะสำหรับ
- ทุกท่าน : ที่ใช้มือถือแบบเติมเงินทุกระบบ เพราะเติมให้ตัวเองก็กำไร ได้ส่วนลดด้วย
- ท่านที่เปิดร้านอยู่แล้วและสนใจหารายได้เสริมจากการเติมเงินมือถือ
- ท่านที่เปิดธุรกิจเติมเงินมือถืออยู่แล้ว แต่มีข้อจำกัดของแต่ละค่ายมือถือ และเงื่อนไขการเติมขั้นต่ำ แต่ที่นี่ สุดยอด ไม่มีขั้นต่ำ เติมเงินสำรองไว้สำหรับเติมให้ลูกค้าเท่าไหร่ก็ได้ ตามใจท่าน


- ท่านจะไม่ต้องสต๊อกสินค้าไว้หลาย ๆ ใบเสี่ยงต่อการถูกขโมย หรือว่าสูญหาย

***เติมเงินให้ตัวเองได้ส่วนลด 3.5-5 %
***เติมเงินให้คนอื่นยิ่งได้กำไรจากส่วนลดและเก็บค่าบริการต่อครั้ง 3.5-5 %
***แนะนำเพื่อนๆเข้าทีมงานเรา(150 บ ต่อคน) ให้ผลตอบแทนสูงถึง 95% หรือ สูงถึงเดือนละ 4 หมื่น

ค่าใช้จ่ายในการสมัครทำธุรกิจ
- เมื่อ Active เสียค่าสมัครสมาชิก จ่ายครั้งเดียวตลอดชีพ 300 บาท แล้วท่านสามารถเริ่มธุรกิจของท่านได้เลย
- ค่าบริการรายเดือน (เริ่มจ่ายเดือนที่ 2 เป็นต้นไป) 100 บาท
- ลงทุนแค่นี้ แนะนำเพื่อน 2 คนก็คุ้มแล้ว !

Friday, April 10, 2009

ทำเว็บคลิกอย่างไรให้ได้เงินเดือนละเป็นหมื่น

เพื่อนๆหลายคนคงสงสัยนะครับ ว่า PTC คืออะไร ได้เงินจริงหรือเปล่า เอาหละ เรามาเข้าเรื่องของ PTC กันเลยดีกว่า เจ้า PTC เนี้ย ชื่อเต็มๆของมันก็คือ \\\"Paid To Click \\\" มันคือ ? หล่ะ มันคือ การลงโฆษณา ของ web แต่ละ web ที่ให้เราเข้าไป กดดุ โฆษณา ของ web เขานั้น แต่ สงสัยหละสิทำไมถึงได้เงิน เพราะ web ที่เราเข้าไปกดเนี้ย จะมีคนมาลงโฆษณา ทาง web ก็ จะได้ส่วนแบ่งจากค่าลงโฆษณาก่อนที่จะแบ่งให้เราเสียอีกครับ เพื่อนเริ่มรู้สึกอยากใช้เงินยามว่างที่ไม่ต้องเหนื่อยอะไรเลยใช่ไหม เรามาเริ่มวิธีการ สมัคร กันเลยดีกว่าครับ ::-7ก่อนอื่นก็ต้องอธิบายกันก่อนเลยว่า PTC ที่ย่อมาจาก Paid To Click เนี่ยคืออะไรหลายๆ คนคงสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆถึงมีคนเอาเงินมาแจกให้เราใช้เล่นใน Internet ? เปล่า เลยครับ ที่จริงแล้วคนที่จ่ายเงินให้เรานั้นจะสร้างรายได้จากเราต่างหาก ด้วยการที่จะมีคนมาลงโฆษณากับเขาแล้วให้เรามานั่งดูและคลิก ซึ่งเขาจะกินส่วนแบ่งจากเงินค่าลงโฆษณาก่อนที่จะแบ่งให้เราเสียอีก ก็คงจะคลายความสงสัยให้กับเพื่อนๆหลายๆคนได้แล้วนะครับว่าทำไมแค่ดูโฆษณา หรือคลิกโฆษณาแล้วได้เงินกัน ต่อไปผมจะเกริ่นนำถึงวิธีการที่จะสร้างรายได้ให้กับเพื่อนๆครับวิธี การที่จะได้เงินมาผมก็ได้พิมพ์บอกไปคร่าวๆในย่อหน้าที่แล้วไปแล้วนะครับ อันที่จริงเพื่อนๆจะได้รับเงินทุกๆครั้งที่คลิกโฆษณา 1 ครั้งใน Account ของตัวเอง แต่ว่าการที่จะได้รับเงินจากทางเว็บแต่ละเว็บนั้นจะต้องมีกำหนดยอดขั้นต่ำ ที่จะจ่ายก่อน เช่นบางเว็บจะกำหนดไว้ 10$USD, 5$USD หรือ 2$USD เป็น ต้น ระยะเวลาในการจ่ายก็อาจจะช้าเร็วต่างกันก็ขึ้นอยู่กับเว็บ บางเว็บก็จ่ายทันที บางเว็บก็อาจจะกินเวลาเกือบสัปดาห์ แต่นานๆครั้งก็มีที่จะนานถึง 4~6 เดือนเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้ผมมีวิธีที่จะทำให้เราได้ยอดเงินเร็วแบบสะบาย ๆ โดยมีตัวช่วยโดยเพื่อนที่สนใจสามารถโหลดได้ที่นี้ คลิกเพื่อโหลดโปรแกรม

ความแตกต่างระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ กับ แบล๊คลิสท์

การปรับโครงสร้างหนี้ หมายถึงการที่เจ้าหนี้ยินยอมให้ลูกหนี้ผัดผ่อนและผ่อนผันการผ่อนชำระหนี้ที่มีอยู่หลายวิธี เช่น
1. ให้มีระยะเวลานานขึ้น เช่นจาก 24เดือนเป็น 36เดือน การยืดเวลาออกไปทำให้เงินที่ต้องชำระต่องวดจะถูกลง ทำให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระต่อได้
2.การตัดหนี้ลงบางส่วน แล้วแต่ตกลงกัน แล้วผ่อนชำระต่อไป
ส่วนแบล็คลิสท์ ในเครดิตบูโร นั้น ขออธิบายคำว่าเครดิตบูโรก่อน หมายถึง การรายงานข้อมูลการชำระเงินหรือหนี้ที่ต้องผ่อนชำระทุกเดือนไปให้กับสำนัก งานกลางเครดิตบูโร เพื่อเวลาสถาบันการเงินต้องการปล่อยกู้ ก็จะเอาข้อมูลการชำระหนี้นั้นมาประกอบการพิจารณาการให้สินเชื่อนั้นๆใน กรณีที่ถูกแบล็คลิสท์ นั้น หมายถึง บุคคลผู้กู้หรือลูกหนี้นั้นไม่ผ่อนชำระตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้หรือผิด นัดชำระเงินนั่นเอง ทำให้เวลาไปขอสินเชื่อใดๆเช่นซื้อบ้าน รถ หรือสมัครบัตรเครดิต ก็จะมีประวัติการผ่อนชำระที่ไม่ตรงตามกำหนดแนบมาด้วย ทำให้การขอสินเชื่อยากยิ่งขึ้น
ปล.โปรดอย่าหลงเชื่อว่ามีบุคคลอื่นใดสามารถลบแบล็คลิสท์ได้

Monday, April 6, 2009

เงินตรา

เงินตรา คือ วัตถุที่ใช้ในการแลกขายซื้อเปลี่ยน เป็นตัวแทนการวัดมูลค่าของสินค้าที่แลกเปลี่ยนกัน ในอดีตเริ่มจากการใช้เปลือกหอย อัญมณี พัฒนามาเป็นโลหะ ปัจจุบัน ใช้เป็น เหรียญ และ ธนบัตร

เหรียญ


เหรียญ เป็น วัตถุชนิดแข็ง ส่วนใหญ่ทำด้วยโลหะ หรือ พลาสติก และมีลักษณะเป็น แผ่นกลม มีการนำเหรียญ มาใช้ประโยชน์หลายด้าน เช่น ใช้เป็นเงินตรามีมูลค่าสำหรับแลกเปลี่ยน เรียกว่า เหรียญกษาปณ์ ผลิตแจกจ่ายโดยรัฐบาล เหรียญถูกใช้ในรูปของเงินสดในระบบการเงินสมัยใหม่เช่นเดียวกับธนบัตร แต่ใช้ในหน่วยที่มีมูลค่าต่ำกว่า ขณะที่ธนบัตรจะถูกใช้ในหน่วยที่มีมูลค่าสูงกว่า โดยปกติ ค่าสูงสุดของเหรียญจะต่ำกว่าค่าต่ำสุดของธนบัตร มูลค่าอัตราแลกเปลี่ยนของเหรียญมาจากมูลค่าทางด้านประวัติของมัน และ/หรือ มูลค่าที่แท้จริงของโลหะที่เป็นส่วนประกอบ (ตัวอย่างเช่น เหรียญทอง, เหรียญเงิน หรือเหรียญแพลตินัม)

เหรียญ นำมาใช้ในรูปของ ของรางวัล หรือ ของที่ระลึกได้ ก็จะเรียก เหรียญรางวัล และ เหรียญที่ระลึก

ธนบัตร


ธนบัตร (banknote) เป็นสิ่งที่เป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยน ซึ่งสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ธนบัตรจะใช้ควบคู่ไปกับเหรียญกษาปณ์ แต่โดยทั่วไปแล้วธนบัตรมักใช้สำหรับเงินจำนวนมาก ส่วนเหรียญกษาปณ์ใช้กับเงินจำนวนน้อย หรือเศษสตางค์

ในสมัยก่อน ค่าของเงินจะวัดโดยวัตถุที่นำมาใช้เป็นเงิน เช่น เบี้ย, เงิน หรือ ทอง แต่การถือวัตถุมีค่าเหล่านี้ออกไปจำนวนมากย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สะดวกและเป็น อันตราย จึงใช้ธนบัตรเพื่อเป็นสื่อแลกเปลี่ยนแทน ธนบัตรเป็นเหมือนสัญญาว่าจะให้เงินไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งภายหลังสามารถนำไปแลกคืนเป็นเงินหรือทองได้ ภายหลังจึงเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อสิ่งของและบริการ ไม่ต้องแลกเป็นเงินหรือทองอีก

ดอกเบี้ย
ดอกเบี้ย คือเงินที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากการลงทุนโดยการคำนวณเป็นอัตราร้อยละต่อปี ในทางเศรษฐศาสตร์ ดอกเบี้ยเป็นเครื่องควบคุมอัตราเงินเฟ้ออีก ด้วย คือ เมื่อใดที่เกิดอัตราเงินเฟ้อขึ้น แสดงว่า มีปริมาณเงินในตลาด(หมายถึงเงินในมือประชาชน)จำนวนมาก และสินค้าจะราคาแพงขึ้น การขึ้นดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ ทำให้เงินได้ออกจากตลาดไป ปริมาณเงินจะลดลง เงินเฟ้อก็จะลดลง

สูตรการคำนวณดอกเบี้ย

A = P+ P\cdot\left(\frac{r}{100}\right)\cdot n

เมื่อ A คือเงินรวมที่ได้รับ P คือเงินต้น r คืออัตราดอกเบี้ยต่อช่วงเวลา และ n คือจำนวนของระยะช่วงเวลา

การเงินส่วนบุคคล

การบริหารการเงินส่วนบุคคล คือ การจัดการการเงินขนาดย่อยของตัวเองโดยมีการฝึกฝนทั้งความรู้ในเรื่องการออม และนำเงินออมที่เก็บไปทำให้เกิดประโยชน์ โดยที่แต่ละคนจะมีเป้าหมายทางการเงินที่แต่ต่างกัน แต่เป้าหมายขั้นพื้นฐานของการบริหารการเงินส่วนบุคคลคือ "อิสรภาพทางการเงิน"

อิสรภาพทางการเงิน

อิสรภาพ ทางการเงิน คือ การที่คุณมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องทำงานหรือทำงานที่คุณรัก โดยที่คุณไม่ต้องคำนึกถึงรายได้หรือรายจ่ายที่คุณต้องไปหางานเพื่อให้ได้ เงินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ทำอย่างไรถึงจะได้ไปถึงอิสรภาพทางการเงิน

1. เก็บออมเงิน คือ การนำเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันไปเก็บเพื่อไปใช้ในอนาคต อาทิ การใช้จ่ายยามฉุกเฉิน การลงทุน

  • จ่าย ให้ตัวเองก่อน คือการนำรายได้ของตัวเองหักออกมาเก็บโดยไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเงินที่เก็บไว้ จนกว่าจะสามารถนำเงินที่เก็บได้นำไปทำให้เกิดผลตอบแทนที่ต้องการ วิธีการกำหนดว่าคุณจะหักจากรายได้เป็นร้อยละเท่าไรขึ้นอยู่กับตัวของคุณ โดยทั่วไปจะตั้งไว้ที่ 10% เป็นขั้นต่ำ ซึ่งคุณอาจจะเพิ่มเป็น 15%, 20% หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับความต้องการบอกแต่ละบุคคล
  • จ่ายเพิ่มให้ กับตัวเอง ทุกครั้งที่คุณมีรายจ่ายในการซื้อของให้จ่ายกับตัวเองเพิ่ม วิธีนี้จะทำเหมือนกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่คุณต้องจ่ายให้กับรัฐบาล แต่ภาษีมูลค่าเพิ่มนี้คุณจะจ่ายให้ตัวเองแทน โดยจะกำหนดเป็นร้อยละเท่าไรขึ้นอยู่กับตัวของคุณ อาจจะเริ่มที่ 3% เป็นการเริ่มต้น
  • การหักจากรายจ่าย คือ ในแต่ละวันที่คุณมีรายจ่าย คุณก็ต้องหักเงินจากรายจ่ายในการใช้จ่ายของคุณในแต่ละวัน คุณอาจหักรายจ่ายจากรายได้ร้อยละเท่าไรขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง

2. นำเงินออมไปให้งอกเงย

  • ฝากธนาคาร
  • ลงทุน
  • ทำประกันชีวิต
    • ทำธุรกิจ
    • หุ้น
    • ตราสาร
    • อสังหาริมทรัพย์

ประวัติธนบัตรประเทศไทย

ประเทศไทยนำธนบัตรออกใช้เป็นครั้งแรก เมื่อพ.ศ. 2445 ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยามรัตนโกสินทร ศก 121 โดยมีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (กระทรวงการคลัง ในปัจจุบัน) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุม ดูแล การสั่งพิมพ์และนำออกใช้ธนบัตรภายในประเทศ จนกระทั่ง มีการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นเมื่อพ.ศ. 2485 กิจการทั้งปวงและอำนาจในการดำเนินการเกี่ยวกับธนบัตร จึงถูกโอนมาอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาเมื่อพ.ศ. 2512 ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรขึ้นเป็นผลสำเร็จ จึงได้พิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้เองภายในประเทศ ได้แก่ ธนบัตรแบบ 11 รวมทั้งแบบอื่น ๆ เป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน

ก่อนที่จะมีการนำธนบัตร เข้ามาใช้ร่วมกับเงินตราชนิดอื่น ๆ ในระบบการเงินของประเทศ ชนชาติไทยได้ใช้หอยเบี้ย ประกับ (ดินเผาที่มีตราประทับ) เงินพดด้วง ปี้กระเบื้อง และเหรียญกษาปณ์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน จนกระทั่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติและเปิดเสรีทางการค้า ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น จนไม่สามารถผลิตเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตราหลักในขณะนั้นได้ทันต่อความต้อง การ ทั้งยังมีผู้ทำเงินพดด้วงปลอมออกใช้ปะปนในท้องตลาด จนเป็นปัญหาเดือดร้อนกันทั่วไป ในพ.ศ. 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดแรกขึ้น ใช้ในระบบเงินตราของประเทศ เรียกว่า หมาย

ต่อ มาระหว่างพ.ศ. 2415 - 2416 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดปัญหาเหรียญกษาปณ์ชนิดราคาต่ำซึ่งเป็นเงินปลีกที่ทำจากดีบุกและทองแดง ขาดแคลน ประกอบกับมีการนำ ปี้ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ใช้แทนเงินในบ่อนการพนันมาใช้แทนเงินตรา ในพ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดราคาต่ำเรียกว่า อัฐกระดาษ ให้ราษฎรได้ใช้จ่ายแทนเงินเหรียญที่ขาดแคลน แต่อัฐกระดาษก็ไม่เป็นที่นิยมใช้เช่นเดียวกับหมาย

เงินกระดาษชนิดต่อมา คือ บัตรธนาคาร ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามธนาคารที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน และธนาคารแห่งอินโดจีน ได้ขออนุญาตนำบัตรธนาคารออกใช้ เมื่อพ.ศ. 2432, 2441, และ 2442 ตามลำดับ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นรัฐบาลประสบปัญหาไม่สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ได้ทัน ต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ

บัตรธนาคาร มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดหนึ่งที่ใช้อำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ดังนั้น การหมุนเวียนของบัตรธนาคารจึงจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็น ต้องติดต่อธุรกิจกับธนาคารดังกล่าวเท่านั้น อย่างไรก็ดี บัตรธนาคารมีส่วนช่วยให้ประชาชนรู้จักคุ้นเคยกับเงินที่เป็นกระดาษมากขึ้น และเนื่องจากมีระยะเวลาการนำออกใช้นานกว่า 13 ปี (พ.ศ. 2432 - 2445) ทำให้การเรียกบัตรธนาคารทับศัพท์ว่า แบงก์โน้ต หรือ แบงก์ ในขณะนั้น สร้างความเคยชินให้คนไทยเรียกธนบัตรของรัฐบาลที่ออกใช้ในภายหลังว่า แบงก์ จนติดปากมาถึงทุกวันนี้

ขณะเดียวกันรัฐบาลในสมัยนั้นได้พิจารณาเห็น ว่าบัตรธนาคารที่สาขาธนาคาร พาณิชย์ต่างประเทศออกใช้อยู่ในขณะนั้น มีลักษณะคล้ายกับเงินตราที่รัฐบาลควรจัดทำเสียเอง ในพ.ศ. 2433 จึงได้เตรียมการออกตั๋วเงินของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เรียกว่า เงินกระดาษหลวง โดยสั่งพิมพ์จากห้างกีเชคเก้ แอนด์ เดวรีเอ้นท์ (en:Giesecke & Devrient) ประเทศเยอรมนี จำนวน 8 ชนิดราคา เงินกระดาษหลวงได้ส่งมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อพ.ศ. 2435 แต่เนื่องจากความไม่พร้อมของทางการในการบริหาร จึงมิได้นำเงินกระดาษหลวงออกใช้

จนกระทั่งพ.ศ. 2445 จึงเข้าสู่วาระสำคัญในการออกธนบัตร กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการให้ตรา พระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก 121 ขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2445 อีกทั้งโปรดให้จัดตั้ง กรมธนบัตร ในสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อทำหน้าที่ออกธนบัตรและรับจ่ายเงินขึ้นธนบัตร และเปิดให้ประชาชนนำเงินตราโลหะมาแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2445 จึงนับว่าธนบัตรได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยอย่างจริงจังนับแต่นั้น มา

ธนบัตรที่นำออกใช้ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก 121 นั้น มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของรัฐบาลที่สัญญาจะจ่ายเงินตราให้แก่ผู้นำ ธนบัตรมายื่นโดยทันที ต่อมา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2471 ซึ่งกำหนดให้เงินตราของประเทศประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ตลอดจนให้ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จึงเป็นการเปลี่ยนลักษณะของธนบัตรจากตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็นเงินตราอย่าง สมบูรณ์

Saturday, April 4, 2009

เช็คช่วยชาติ

เช็คช่วยชาติ ผ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก
โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน และบุคลากรภาครัฐ (2000 บาท)

-:- ผู้มีสิทธิ์รับเงิน
-:- ขั้นตอนการขอรับเงิน
-:- เอกสารในการยื่นเรื่อง
-:- กำหนดการเบิกจ่ายเช็ค
-:- วิธรการและขั้นตอนการรับเช็คของผู้รับบำนาญ

-:- วิธีการและขั้นตอนการรับเช็คของผู้ประกันตน
-:- รูปแบบและการตรวจสอบเช็ค
-:- การใช้เช็คช่วยชาติ
-:- การเข้าร่วมโครงการของ
ผู้ประกอบการ และร้านค้าทั่วไป

ผู้มีสิทธิ์รับเงิน

ผู้มีสิทธิได้แก่ผู้มีสัญชาติไทย ที่มีรายได้น้อยกว่า 15,000 บาท มีรายละเอียดดังนี้

  1. ประชาชนในระบบประกันสังคมจำนวน 8,138,815 คน
    • ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ต้องมีสถานะเป็นผู้ประกันตนอยู่ ณ วันที่ 13 มกราคม 2552 และยังไม่สิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตน
    • ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ผู้ที่ได้รับการอนุมัติให้เป็นผู้ประกันตนภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2551 (หน้าจอ Online แสดงผลวันที่เข้างาน ไม่เกินวันที่ 1 มกราคม 2552 ) และยังไม่สิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตน ณ วันที่ 13 มกราคม 255
      การสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ไม่ว่าจะมาสมัครวันที่เท่าไร ก็จะมีผลการอนุมัติในวันที่ 1 ของเดือนถัดไป
    • ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ผู้ที่ได้รับการอนุมัติให้เป็น ผปต.และจ่ายเงินสมทบแล้ว (ตรวจสอบฐานข้อมูล ผปต.ณ วันที่ 13 มกราคม 2552
      ไม่ว่าจะมาสมัครวันที่เท่าไร ก็จะมีผลการอนุมัติในวันที่ 1 ของเดือนถัดไป
      ส่วนเงินสมทบ จะคิดคำนวณเงินสมทบตั้งแต่เดือนที่เป็นผู้ประกันตนจนถึงวันสิ้น
    • ผู้ประกันตนตามมาตรา 38(2) คือลูกจ้างที่พ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 แล้วสำนักงานประกันสังคมจะคุ้มครองสิทธิ์ลูกจ้างต่ออีก 6 เดือน มาตรา 38 ความเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 สิ้นสุดลงเมื่อผู้ประกันตนนั่น ตาย และ สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 คณะรัฐมนตรีมีมติให้บุคคลตามมาตรา 38 ที่ถูกเลิกจ้าง หรือลาออกจากงาน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 มีสิทธิได้รับ “เช็คช่วยชาติ” ด้วยเช่นกัน

      หมายเหตุ
      - ในกรณีที่ประชาชนแจ้งว่าได้ออกจากงานก่อนวันที่ 13 มกราคมและยังอยู่ระหว่างได้รับการคุ้มครอง 6 เดือนตามมาตรา 38 ได้ไปลงทะเบียนและทางเจ้าหน้าที่ไม่รับลงทะเบียนไปก่อนหน้านี้ ให้แจ้งประชาชนว่าให้ไปติดต่อประกันสังคมโดยตรงเพื่อขอลงทะเบียนใหม่อีก ครั้ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่อาจจะยังไม่ได้รับการประสานข้อมูลจากทางกระทรวงแรงงาน (ข้อมูลจากเลขาธิการ สปส.ผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552
  2. บุคคลากรภาครัฐ จำนวน 1,324,973 คนประกอบด้วย
    • ข้าราชการพลเรือน
    • ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
    • ข้าราชการตำรวจ
    • ลูกจ้างประจำ
    • ลูกจ้างชั่วคราว
    • ข้าราชการทหาร รวมทั้งทหารเกณฑ์ (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52)
    • ข้าราชการบำนาญ
    • เจ้า หน้าที่ของรัฐคือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ อาสาสมัครทหารพราน สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน
    • พนักงานรัฐวิสาหกิจ (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52)
    • บุคลากรของหน่วยงานรูปแบบพิเศษ (องค์กรมหาชน) (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52)
    • บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52)
    • บุคลากรขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52)
  3. กลุ่มครู บุคลากรด้านการศึกษา และบุคลากรอื่นในโรงเรียนเอกชน 132,604 คน (ตามมติ ครม. วันที่ 17 มี.ค. 52) ได้แก่
    • ครูโรงเรียนเอกชนที่อยู่ในระบบกองทุนสงเคราะห์ที่มีสิทธิรับเงิน
    • ครูที่อยู่นอกระบบกองทุนสงเคราะห์ที่ต้องตรวจสอบสาเหตุที่อบู่นอกระบบกองทุนสงเคราะห์
    • กลุ่ม บุคลากรอื่นในโรงเรียนเอกชน เช่น พนักงานขับรถยนต์ นักการภารโรง พี่เลี้ยงเด็ก ที่ต้องตรวจสอบว่าบางส่วนอาจจะควรอยู่ในระบบประกันสังคม แต่โรงเรียนไม่จัดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม
  4. กรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มเติมให้บุคคลใดเป็นผู้มีสิทธิรับเงิน กำหนดให้หน่วยงานที่บุคคล ดังกล่าวอยู่ในสังกัดดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินด้วย

ขั้นตอนการขอรับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ

กรณีผู้ประกันตนที่ทำงานกับนายจ้าง (มาตรา 33 )

  1. กรอกแบบคำขอรับเงินตามโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐในส่วนของผู้ประกันตน(สปส.รบ.2000) โดย ผู้ประกันตนต้องลงลายมือชื่อด้วยตนเอง พร้อมแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์ ซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชีธนาคารของผู้ประกันตนเท่านั้น
  2. ให้ยื่นแบบคำขอฯผ่านนายจ้าง เพื่อให้นายจ้างรวบรวมแบบคำขอฯ
  3. โดยนายจ้างต้องกรอกใบนำส่งแบบคำขอรับเงินตามโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐฯโดยนายจ้างผู้ประกอบการ(สปส.รบ.2000/1) นำไปยื่นที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัดที่สถานประกอบการตั้งอยู่
  4. กรณีที่ผู้ประกันตนเกิน 100 คน นายจ้างสามารถทยอยส่งได้ โดยขอความร่วมมือนายจ้างจัดส่งภายในวันที่ 16 มีนาคม 2552

กรณีผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (มาตรา 39) และผู้ประกันตนที่ประกันตนเอง (มาตรา 40)

  • บุคคล ซึ่งออกจากงานแล้วแต่ยังส่งเงินประกันสังคมอยู่ตามมาตรา 39,40 ให้ยื่นเรื่องด้วยตนเองต่อประกันสังคม เขตพื้นที่หรือจังหวัดที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนโดยตรง
  • บุคคล ที่ออกจากงานแล้วและไม่ได้ส่งเงินประกันสังคมต่อตามมาตรา 39 หรือ 40 แต่ยังอยู่ในระหว่าง 6 เดือนที่ได้รับการคุ้มครองก็สามารถขอขึ้นทะเบียนได้โดยตรงที่สำนักงานประกัน สังคมยื่นแบบคำขอฯ ด้วยตนเองที่สำนักงานประกันสังคมที่ขึ้นทะเบียน
  • หาก ย้ายสถานที่จ่ายเงินสมทบไปยังสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา อื่นให้ยื่นแบบคำขอฯที่สำนักงานประกันสังคมที่จ่ายเงินสมทบ (สำนักงานประกันสังคมที่รับผิดชอบปัจจุบัน) ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2552

กรณีผู้ประกันตนตามมาตรา 38(2)

คือ ลูกจ้างที่พ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 แล้วสำนักงานประกันสังคมจะคุ้มครองสิทธิ์ลูกจ้างต่ออีก 6 เดือน
มาตรา 38 ความเป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 สิ้นสุดลงเมื่อผู้ประกันตนนั้น (1) ตาย (2) สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง

  • เมื่อ วันที่ 3 มีนาคม 2552 คณะรัฐมนตรีมีมติให้บุคคลตามมาตรา 38 ที่ถูกเลิกจ้าง หรือลาออกจากงาน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 มีสิทธิได้รับ “เช็คช่วยชาติ” ด้วยเช่นกัน
  • แนะนำให้ยื่นเรื่องที่ สปส. เขต/จังหวัดที่รับผิดชอบนายจ้างรายล่าสุด

กรณีไม่สะดวกยื่นเรื่องด้วยตนเอง

  1. ผู้ประกันตน กรอกแบบ สปส.รบ.2000 และลงชื่อให้ครบถ้วน พร้อมทั้งแนบเอกสาร โดยฝากใครมายื่นเรื่องแทนก็ได้ โดยไม่ต้องมอบอำนาจ
  2. ขอ ให้ผู้มาส่งเอกสารรับใบรับเรื่องฯ จากเจ้าหน้าที่ (ส่วนท้ายของแบบฟอร์ม) ให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการสูญหาย หรือ สามารถส่งเอกสารทางไปรษณีย์ได้ แต่ ผู้ประกันตน จะไม่ได้รับใบรับเรื่องฯ (ส่วนท้ายขอบแบบฟอร์ม) ในทันที
  3. เพื่อป้องกันการสูญหาย ควรจัดส่งไปรษณีย์ แบบลงทะเบียนตอบรับ เป็นการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ได้รับเอกสารเรียบร้อยแล้ว

กรณีบุคลากรทางภาครัฐ

  • ไม่ต้องดำเนินการกรอกแบบฟอร์ม จากเดิมที่แจ้งว่าจะโอนเข้าบัญชี ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ของสำนักงานประกันสังคมแจ้งว่าจะจ่ายเป็นเช็คอย่างเดียวเท่านั้น (Update 13 มี.ค.52 )

ผู้ประกันตนและผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ควรไปขึ้นทะเบียนกรอกแบบฟอร์ม
ภายในวันที่ 1 มีนาคม 2552 หากยื่นหลังจากนี้จะได้รับเช็คช้า

กรณีครูเอกชน

ขณะนี้ สช. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด พร้อมแนบแนวปฏิบัติการช่วยเหลือค่าครองชีพและแบบสำรวจรายชื่อ ไปยังผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชนในกรุงเทพฯ และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเรียบร้อยแล้ว

  • โดยขอให้โรงเรียนตรวจสอบผู้มีสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือ และลงรายการในแบบสำรวจ
  • จัดทำข้อมูลในรูปไฟล์ Excel พร้อมแนบเอกสารหลักฐานประกอบ
  • จัดส่งมายังกลุ่มงานทะเบียน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กระทรวงศึกษาธิการ ถ.ราชดำเนินนอก เขตดุสิต กทม. 10300 ภายในวันที่ 25 มีนาคม 2552
  • หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามมาได้ที่ โทร 02281 6400, 0 2628 9024, 0 22826854, 0 2282 8655 และ 0 2282 1749

เอกสารประกอบในการยื่นเรื่อง

  1. แบบคำขอรับเงินตามโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐในส่วนของผู้ประกันตน(สปส.รบ.2000) กรอกรายละเอียดให้เรียบร้อย
  2. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
  3. สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์ ได้แก่
    • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
    • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
    • ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
    • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
    • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
    • ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
    • ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธ
    • นาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)
    • ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด(มหาชน)
    • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

หมายเหตุ

  • สำหรับ ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (มาตรา 39) และผู้ประกันตนที่ประกันตนเอง (มาตรา 40) สำนักงานประกันสังคมได้จัดส่งแบบคำขอรับเงินตามโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพ ประชาชนและบุคลากรภาครัฐในส่วนของผู้ประกันตน (สปส.รบ.2000) ให้กับผู้ประกันตนโดยตรง
  • หากไม่ได้รับสามารถดาวน์โหลดได้ที่ www.sso.go.th เลือก e–Service และเลือก ดาวน์โหลด แบบฟอร์มคำขอรับเงินตามโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ ในส่วนของผู้ประกันตน (สปส.รบ.2000)

กำหนดการจ่ายเงิน

  • กำหนดวิธีการเบิกจ่ายเงิน โดยให้ 3 หน่วยงาน เป็นผู้เบิกเงินจากคลัง และส่งมอบเช็คให้กับ ผู้มีสิทธิรับเงิน ได้แก่
    1. สำนักงานประกันสังคม
    2. ส่วนราชการที่เป็นต้นสังกัดของผู้มีสิทธิรับเงิน
    3. กรมบัญชีกลาง (สำหรับกรณีผู้มีสิทธิรับเงินที่เป็นผู้รับเบี้ยหวัดหรือผู้รับบำนาญ
  • เช็คช่วยชาติ มูลค่า 2,000 บาทจะเริ่มมอบเช็คระหว่างวันที่ 26 มีนาคม 2552 ถึง 8 เมษายน 2552 สำหรับผู้ประกันตนที่ยื่นแบบคำขอรับเงินตามโครงการช่วยเหลือค่าครองชีพ ประชาชนและบุคลากรภาครัฐในส่วนของผู้ประกันตน (สปส.รบ.2000) เข้ามาภายในวันที่ 6 มีนาคม 2552
  • ในส่วนของผู้ที่ยื่นแบบไม่ทัน หรือมีความจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2552
  • ในกรณีที่ผู้มีสิทธิรับเงินไม่มารับ “เช็คช่วยชาติ” หรือไม่พบตัวผู้มีสิทธิรับเงิน
    - ให้หน่วยงานซึ่งเป็นผู้ส่งมอบเช็คให้กับผู้มีสิทธิรับเงิน รีบดำเนินการมีหนังสือติดตามแจ้งให้ผู้มีสิทธิรับเงินมารับ “เช็คช่วยชาติ” ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วภายในกำหนดระยะเวลา 90 วัน (มิถุนายน 2552)
    - เมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าว หากยังไม่มีผู้มารับเช็ค ให้หน่วยงานนำเช็คไปขึ้นเงินกับธนาคาร และนำเงินส่งคืนคลังตามระเบียบของทางราชการ

วิธีการและขั้นตอนการรับเช็คช่วยชาติ (2,000 บาท)ของผู้รับบำนาญ

การตรวจสอบสิทธิ

  • ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญสามารถตรวจสอบรายชื่อและสถานที่รับเช็ค ได้ที่
  • เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง http://www.cgd.go.th/ หัวข้อ เช็คช่วยชาติผู้รับบำนาญ
  • หรือสอบถามโดยตรงได้ที่ กรมบัญชีกลาง Call Center หมายเลข 02-270-6400 หรือ 02-273-9024 02-271-0686-90 และ 02-273-9101

หลักฐานเพื่อนำไปรับเช็คสำหรับผู้รับบำนาญ

  • บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรผู้รับบำนาญ
  • กรณี ไม่สามารถไปรับด้วยตนเอง ก็สามารถให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมารับแทนได้ โดยทำใบมอบฉันทะพร้อมแนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ของผู้มอบฉันทะและผู้รับมอบฉันทะ
  • กรณี ที่ชื่อปรากฎอยู่ทางส่วนกลางหรือสำนักงานคลังจำนวนใด ๆ แต่ไม่สะดวกที่จะไปรับ ก็ให้ไปยื่น คำร้อง ณ หน่วยงานที่สะดวกจะไปติดต่อ พร้อมระบุเลขที่บัญชีธนาคารที่ประสงค์ จะให้โอนเงินเข้าบัญชีให้ (กรณีนี้ต้องใช้เวลา เพราะต้องรวบรวมคำร้องส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการนำเช็คไปขึ้นเงินก่อน และโอนเงินเข้าบัญชีผู้มีสิทธิต่อไป)

กำหนดการและสถานที่รับเช็ค

  • ผู้รับบำนาญทางส่วนกลาง รับเช็คได้ที่กรมบัญชีกลาง ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน เป็นต้นไป
  • ผู้รับบำนาญทางส่วนภูมิภาค รับได้ที่สำนักงานคลังจังหวัด 26 มีนาคม เป็นต้นไป

วิธีการจ่ายเช็คช่วยชาติแก่ผู้ประกันตน

ตรวจสอบบัญชีรายชื่อ

  • ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ไปตรวจสอบบัญชีรายชื่อ วัน เวลา ที่จะได้รับเช็ค ณ สถานประกอบการ
  • ผู้ ประกันตนตามมาตรา 39 ไปตรวจสอบบัญชีรายชื่อ วัน เวลา ที่จะได้รับเช็ค ณ ที่ว่าการอำเภอ (เริ่มติดประกาศตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2552

วิธีการจ่ายเช็คแก่ผู้ประกันตน ที่มีสิทธิรับเงินตามโครงการฯ 3 วิธี คือ

  1. มอบให้ผู้ประกันตน ณ สถานประกอบการของนายจ้าง
  2. มอบ ณ จุดนัดพบในอำเภอต่างๆ สำหรับผู้ประกันตนซึ่งอยู่ห่างไกลและ
  3. มอบ ณ ที่ตั้งของสำนักงานประกันสังคม หรือสถานที่ที่มีความสะดวก เช่น สนามกีฬา วัด โรงเรียน หรือ ห้างสรรพสินค้า

สำหรับผู้ประกันตนในเขตเมือง สำนักงานประกันสังคมจะประชาสัมพันธ์แจ้งผ่านนายจ้างโดยตรง หรือ ผ่านสื่อต่างๆ ด้วย

ขั้นตอนและรายละเอียดเพิ่มเติมต่าง ๆ

ผู้ประกันตนตามมาตรา 33

  • ทางสนง.ประกันสังคมเขตพื้นที่ จะส่งเอกสารไปยังบริษัท แจ้งวันและสถานที่รับเช็คช่วยชาติ
  • หากไม่สามารถไปรับเช็คได้ด้วยตนเอง สามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปรับเช็คแทนได้
    โดยการมอบอำนาจในการรับเช็ค เริ่มวันที่ 5 เมษายน เป็นต้นไป โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
    • กรณี ผู้ประกันตนที่มีสิทธิอยู่ในชนบทห่างไกล
      - สามารถมอบอำนาจให้เครือญาติมารับแทน โดยให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล หรือเจ้าหน้าที่เทศบาล เป็นพยานอย่างน้อย 1 คน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นบุคคลใดก็ได้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว
    • กรณีผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้างที่อยู่ในสายการผลิต ไม่สามารถหยุดได้หากหยุดการผลิตจะเกิดความเสียหาย
      - ให้ลูกจ้างคนหนึ่งคนใดเป็นผู้รับมอบอำนาจ พยานคือ ลูกจ้างคนอื่นที่เหลืออยู่ โดยประทับตราของบริษัทในหนังสือมอบอำนาจทุกฉบับ และนำบัตรประชาชนฉบับจริงพร้อมสำเนาที่มีการรับรองสำเนาถูกต้องของผู้มอบ อำนาจทุกคน ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่
      - ทั้งนี้ นายจ้างจะต้องมีหนังสือรับรองระบุชื่อผู้ประกันตนที่มอบอำนาจทุกคน และยืนยันว่าจะกำกับดูแล ควบคุมให้ผู้รับมอบอำนาจนำเช็คช่วยชาติ ที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ไปให้ผู้ประกันตนผู้มอบอำนาจอย่างครบถ้วน
    • กรณีผู้ประกันตนเป็นลูกจ้างทำงานในสาขาต่างจังหวัด โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ
      - ไม่สะดวกในการเดินทางมารับ เช็คช่วยชาติ ที่กรุงเทพฯ สามารถมอบอำนาจให้ผู้แทนนายจ้าง มารับ “เช็คช่วยชาติ” แทนลูกจ้างผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้ พยานคือลูกจ้างที่เหลืออยู่ โดยประทับตราของบริษัทในหนังสือมอบอำนาจทุกฉบับ และมีหนังสือรับรองยืนยันว่า ผู้รับมอบอำนาจเป็นผู้แทนนายจ้าง ที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้ประกันตนที่มีสิทธิชื่อใดบ้าง
      - รวมทั้ง ต้องนำบัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริงพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวบัตรประชาชนที่มี การรับรองสำเนาถูกต้องของผู้มอบอำนาจทุกคนไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ (Update 03/04/52 ที่มา: ข่าวประจำวันสำนักงานประกันสังคม)
  • กรณี ไม่สามารถเดินทางไปรับในวันที่ระบุในเอกสารได้
    เช็คดังกล่าวจะถูกส่งกลับไปที่สำนักงานประกันสังคมในพื้นที่ ให้ไปติดต่อขอรับเช็คได้ภายใน 90 วัน
  • กรณี ที่เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ซึ่งมีพนักงานตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป
    สามารถติดต่อ สนง.ประกันสังคมในเขตพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาตั้งจุดบริการที่บริษัทได้
  • กรณี สถานประกอบการไม่สามารถรับเช็ค ตามวัน เวลา ที่ สปส.เขต / จังหวัด กำหนด
    สปส.จะจัดหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ในการจ่ายเช็คให้กับสถานประกอบการที่มีจำนวนลูกจ้างที่มีสิทธิรับเช็คตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป
  • กรณี ที่ไม่สามารถไปรับเช็คในวันเวลา และสถานที่ที่กำหนด
    • ขอให้นายจ้างมีหนังสือร้องขอมาที่ สปส.ทางโทรสาร (Fax) หมายเลข 0-2526-1959 หรือ 0-2968-7562
    • และโทรศัพท์ไปสอบถามได้ในกรณีที่ส่ง Fax ไปยัง สปส.เรียบร้อยแล้วคือหมายเลข 0-2956-2024-5 หรือ 0-2956-2012-1
    • โดยกำหนดรายละเอียดในหนังสือฯ ดังนี้
      1. ระบุรายละเอียดของสถานประกอบการ ได้แก่ ชื่อสถานประกอบการ เลขที่บัญชีนายจ้าง สปส.ที่รับผิดชอบ ชื่อผู้ประสานงานของบริษัทฯ และหมายเลขโทรศัพท์
      2. จำนวนผู้มีสิทธิรับเช็คช่วยชาติ
      3. วัน เวลา และสถานที่ที่ สปส.เขต ระบุในการรับเช็ค
      4. ระบุเหตุผลที่ไม่สามารถรับเช็ค........................... (ที่มา: Fax สปส.)

ผู้ประกันตนมาตรา 40, 38(2)

  • ทางสนง.ประกันสังคม ยังอยู่ระหว่างหาข้อสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ประชาชนสะดวกที่สุด
  • โดยหากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ สนง.ประกันสังคมในเขตพื้นที่

ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ (ตามมาตรา 39)

  • ในเขต กทม.
    - สปส.จะนำ “เช็คช่วยชาติ” ไปมอบให้ ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 26-28 มี.ค. เวลา 08.00-16.00 น. (จะเริ่มแจกบัตรคิวเวลา 07.00 น.)
    - หากไม่ทันให้ติดต่อขอรับเช็คได้ที่ สปส.เขตพื้นที่ ได้ตั้งแต่วันที่ 4-8 เม.ย. และ 20 เม.ย.-15 มิ.ย.
  • ส่วนในต่างจังหวัด
    - ให้ติดต่อขอรับเช็คได้ตั้งแต่ วันที่ 26 มี.ค.-8 เม.ย. 52
    - หากไม่ทันให้ติดต่ออีกครั้งในระหว่างวันที่ 20 เม.ย.-15 มิ.ย.
  • ตรวจสอบรายชื่อได้ที่สายด่วนประกันสังคม โทร.1506 ตั้งแต่เวลา 07.00-19.00 น. หรือ http://www.sso.go.th

รูปแบบและการตรวจสอบเช็คช่วยชาติของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

ข้อพึงระวัง

เช็คช่วยชาติสามารถเปลี่ยนมือได้และมีค่าเสมือนเงินสด
จึงไม่สามารถอายัดได้
ผู้ได้รับเช็คจึงต้องเก็บรักษาเป็นอย่างดี

ภาพจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดเต็ม

วิธีสังเกต 4 จุดหลัก

  1. ตัว อักษร "เช็คช่วยชาติ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก" พิมพ์เป็นลายเส้นนูน สีน้ำเงิน ดำ และแดง เหลือบกัน เมื่อสัมผัสด้วยปลายนิ้วมือจะรู้สึกสะดุดกับหมึกพิมพ์ที่อยู่บนผิวกระดาษ
  2. สัญลักษณ์ "฿" ช่องจำนวนเงิน พิมพ์เป็นตัวนูน สีทองและแดงเหลือบกัน
  3. เมื่อนำเช็คไปส่องกับแบล็คไลท์ จะปรากฏตราสัญลักษณ์รูปดอกบัวของธนาคารกรุงเทพตรงกลางเช็ค
  4. ขอบเช็คต้องมีรอยปรุ 2 ด้าน ได้แก่ ด้านบนและด้านล่าง

สอบถามเพิ่มเติม ศูนย์ธนาคารทางโทรศัพท์ ‘โครงการเช็คช่วยชาติ’ โทร.0 2645 5888 ทุกวัน ระหว่างเวลา 8.00 น. – 20.00 น.

การใช้เช็คช่วยชาติ

  1. เช็คช่วยชาติ มีมูลค่า 2,000 บาท จะมีอายุการใช้งาน 180 วันนับจากวันที่ที่ระบุบนเช็ค
  2. เช็คช่วยชาติที่ออกโดย ธ.กรุงเทพ สามารถนำไปเบิกเงินสดที่ธนาคารกรุงเทพฯ ได้ทุกสาขา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
  3. ผู้ ถือเช็คจะต้องสลักชื่อตัวเอง 2 ครั้งด้านหลังเช็ค พร้อมเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน ในการแลกซื้อสินค้าซึ่งขณะนี้ได้ร่วมกับภาคเอกชนจำนวน 21 ราย (ตามข่าวประจำวันที่ 18 มีนาคม 2552)
    3.1 บริษัทเซ็นทรัลคอปอร์เรชั่น จำกัด ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โรบินสัน ร้านท๊อปซูเปอร์มาร์เก็ต และซูเปอร์สปอร์ต รวมกว่า 400 สาขา
    3.2 บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป
    3.3 ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ได้แก่
    - นานมีบุ๊คส์
    - บริษัทไทยสกายลาร์ค
    - กิฟฟารีน
    - Big C (บิ๊กซี)
    - Pizza (พิซซ่าฮัท)
    - KFC (เคเอฟซี)
    - CP (ซีพีเฟรชมาร์ท)
    - McDonald's (แมคโดนัล)
    - Carrefour (คาร์ฟูร์)
    - Lotus (โลตัส)
    - บริษัทอินเด็กซ์ลิฟวิ่งมอลล์
    - เมืองไทยประกันภัย
    - สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
    - และ องค์การค้าของคุรุสภา เป็นต้น
  4. หากจะนำเข้าบัญชีของตัวเองก็สามารถทำได้เลย และต้องมีบัตรประชาชนไปแสดงด้วย เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของ
  5. ส่วน ผู้ประกอบการร้านค้าที่รับเช็คไป จะนำเช็คไปเข้าบัญชีของตัวเองต่อไป หรือหากจะนำไปซื้อสินค้าต่อก็สามารถนำไปใช้ได้เช่นกัน แต่จะต้องมีการสลักชื่อและเลขบัตรประจำตัวประชนของตัวเองเช่นกัน

การเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการ และร้านค้าทั่วไป

สอบถามเพิ่มเติม

สอบถามข้อมูลทั่วไป

ข้าราชการทั่วไป หากมีข้อสงสัยติดต่อ ต้นสังกัด

ส่วนข้าราชการบำนาญ ให้ติดต่อที่กรมบัญชีกลาง

มีข้อสงสัยต้องการตรวจสอบคำขอ สปส.รบ.2000
ติดต่อสำนักงานประกันสังคมจังหวัดหรือสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ที่ท่านยื่นแบบคำขอ

หากประสบปัญหานายจ้างนำส่งเงินสมทบไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
สามารถตรวจสอบได้ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขาที่นายจ้างนำส่งเงินสมทบ

เกร็ดความรู้

ตามกฎหมายประกันสังคม

  • กำหนด ให้นายจ้างแจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนให้กับลูกจ้างให้ครบทุกคนและนำส่งเงิน สมทบกับสำนักงานประกันสังคมโดยคำนวณจากฐานค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับตามความ เป็นจริง
  • ซึ่งกำหนดเพดานค่าจ้างสูงสุดและต่ำสุดที่นำมาคำนวณเงิน สมทบคือ สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท และเงินค่าจ้างขั้นต่ำคือ ไม่ต่ำกว่า 1,650 บาท
  • ดังนั้นเงินที่นายจ้างต้องจ่ายสำหรับลูกจ้าง แต่ละคนในแต่ละเดือน สูงสุด 750 บาท และต่ำสุด 83 บาท

สำนักงานประกันสังคม ขอความร่วมมือนายจ้างและสถานประกอบการต่างๆ

  • ให้แจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนให้กับลูกจ้างให้ครบทุกคน และนำส่งเงินสมทบให้กับลูกจ้างโดยคำนวณจากฐานค่าจ้างที่ได้รับตามความเป็นจริง
  • หากนายจ้างนำส่งเงินสมทบไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงจะมีความผิดตามกฎหมายซึ่งมีบทลงโทษคือ
    จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับ ไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ